คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3925/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ ส. พูดว่าจะเอาอาวุธปืนมายิงจำเลยแล้วจำเลยพูดกับ ส. ว่า พูดไม่เข้าหู แล้ว ส., ม. และ น. ออกจากบ้านจำเลยไป เหตุโกรธเคืองยุติและขาดตอนไปแล้ว ระหว่างนั้นจำเลยย่อมมีโอกาสคิดไตร่ตรองไว้ก่อนแต่พฤติการณ์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ ต. ขับติดตาม ส., ม. และ น. ไปโดยจำเลยเตรียมนำอาวุธปืนไปด้วยแสดงว่า จำเลยคิดไตร่ตรองแล้วว่าจะใช้อาวุธปืนที่เตรียมไปยิงผู้เสียหายที่ 1 เพื่อแก้แค้นทั้ง ต. ยังขับรถแซงรถของ ส. ไปดักรอ ส., ม. และ น. อยู่ข้างหน้า เมื่อรถของ ส. มาถึง จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ส. การกระทำของจำเลยต่อ ส. จึงเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4), 80 รวม 1 กระทง แต่ไม่ปรากฎว่าจำเลยกับ ม. และ น. มีเหตุโกรธเคืองกันจนจำเลยต้องคิดฆ่าบุคคลทั้งสอง การที่จำเลยยิง ม. และ น. ก็เพราะบุคคลทั้งสองนั่งรถจักรยานยนต์มากับ ส. จึงเป็นการคิดฆ่าอีกกระทงหนึ่งในทันที มิได้ไตร่ตรองไว้ก่อนจำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานร่วมกันพยายามฆ่าตาม ป.อ. มาตรา 288, 80

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 371, 80, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ นับโทษของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 813/2550 ของศาลจังหวัดนาทวีและคดีอาญาหมายเลขดำที่ 687/2550 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 83, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และวรรคสาม ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวม 3 กระทง กระทงละ 16 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 51 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 25 ปี 6 เดือน ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 813/2550 ของศาลจังหวัดนาทวี และในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 703/2550 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ขณะกระทำความผิด จำเลยมีอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นรวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี เป็นจำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน รวมกับโทษจำคุกฐานมีและพาอาวุธปืนฯ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 7 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสามโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ ตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ได้ความว่า ในคืนเกิดเหตุเมื่อพบจำเลยแล้ว จำเลยชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปสั่งซื้ออาหาร จากนั้นชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านเพื่อนของจำเลย พบนายติ๊ก เพื่อนของจำเลย ต่อมาจำเลยชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลย หลังจากนั้นผู้เสียหายที่ 1 กลับไปรับผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ซึ่งรออยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์ไปที่บ้านจำเลยโดยมีนายติ๊กตามไปสมทบด้วย และได้ความตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 สอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1ต่อไปว่า ผู้เสียหายทั้งสามอยู่ที่บ้านจำเลยประมาณ 5 นาที ก็พากันกลับโดยผู้เสียหายที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ มีผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 นั่งซ้อนท้ายตามลำดับไปตามถนนสายเขารูปช้าง – ปาดังเบซาร์ ระหว่างทางนายติ๊กขับรถจักรยานยนต์มีจำเลยนั่งซ้อนท้ายแซงรถจักรยานยนต์ที่เสียหายที่ 1 ขับไปเลี้ยวเข้าทางแยกชายควน ผู้เสียหายที่ 1 ขับรถเลยทางแยกไป สักพักนายติ๊กก็ขับรถจักรยานยนต์ตามมาแล้วแซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 1 ขับอีกครั้ง ผู้เสียหายที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร พบจำเลยยืนถืออาวุธปืนสั้นอยู่กลางถนน ส่วนนายติ๊กยืนอยู่ข้างรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ข้างถนน ผู้เสียหายที่ 1 จอดรถและถามจำเลยว่า เรื่องอะไรที่รบกัน จำเลยตอบว่า มึงพูดอะไรแล้วจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 ทันทีจนผู้เสียหายที่ 1 และรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 1 ขับล้มลง ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 วิ่งหลบหนีไปข้างทาง จำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ด้วย ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งคัดค้าน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสาม เห็นว่า ตามพฤติการณ์ที่ได้ความดังกล่าวนับแต่ผู้เสียหายทั้งสามกลับออกจากบ้านจำเลยจนถึงขณะเกิดเหตุที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสาม ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายทั้งสามกับจำเลยเพิ่งมีสาเหตุใด ๆ ต่อกันอันจะเป็นเหตุให้จำเลยต้องคิดฆ่าโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสามในทันทีนั้น จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า จำเลยโกรธแค้นผู้เสียหายที่ 1 มาก่อนแล้ว ตามที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา ระหว่างพูดคุยกับผู้เสียหายทั้งสามที่บ้านของจำเลย ผู้เสียหายที่ 1 พูดทำนองว่าจะเอาอาวุธปืนมายิงจำเลย ดังจะเห็นได้จากที่จำเลยพูดก่อนที่จะยิงผู้เสียหายที่ 1 ในทำนองว่าผู้เสียหายที่ 1 พูดไม่เข้าหูจำเลย การที่ผู้เสียหายทั้งสามออกจากบ้านจำเลยไป เหตุโกรธเคืองยุติกันไปแล้ว แต่พฤติการณ์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่นายติ๊กขับตามผู้เสียหายทั้งสามไปโดยจำเลยเตรียมนำอาวุธปืนติดตัวไปด้วย ก่อนถึงจุดเกิดเหตุนายติ๊กยังได้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวเข้าไปในทางแยกแล้วจึงย้อนกลับออกมาแซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 1 ขับไปดักรอผู้เสียหายทั้งสามอยู่ข้างหน้าเช่นนี้เหตุโกรธเคืองได้ขาดตอนไปแล้ว ในระหว่างนั้นจำเลยย่อมมีโอกาสคิดไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วว่าจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 เพื่อแก้แค้น และติดตามไปฆ่า จนกระทั่งได้โอกาสที่ไปดักรอผู้เสียหายทั้งสามอยู่ในจุดเกิดเหตุ จำเลยก็ใช้อาวุธปืนที่เตรียมไปนั้นยิงผู้เสียหายที่ 1การกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหายที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 83 รวม 1 กระทง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดเพียงฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่การที่จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ด้วยนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 มีเหตุโกรธเคืองกันจนถึงกับจำเลยต้องคิดฆ่าบุคคลทั้งสองการที่จำเลยยิงผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ด้วย ก็เพราะบุคคลทั้งสองนั่งรถจักรยานยนต์มากับผู้เสียหายที่ 1 จึงเป็นการคิดฆ่าในทันทีมิได้ไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบมาตรา 80, 83 รวม 2 กระทง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551 มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 75 และมาตรา 76 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและให้ใช้ความใหม่แทน ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ การลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 (เดิม) กำหนดให้การลดมาตรส่วนโทษเป็นดุลพินิจหากเห็นสมควรแต่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 เป็นเรื่องที่กฎหมายบังคับว่า ศาลจะต้องลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลย มิใช่เรื่องที่ศาลเห็นสมควร การลดมาตราส่วนโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มิได้แก้ไขเนื่องจากปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1โดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 83 จำนวน 1 กระทง ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75(ที่แก้ไขใหม่) ประกอบมาตรา 18 วรรคสาม ให้ลงโทษจำคุกจำเลยสำหรับกระทงนี้ 16 ปี 8 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 รวม 2 กระทง กระทงละ 5 ปี และโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร จำคุก 6 เดือน รวมโทษทุกข้อหาเป็นจำคุก 26 ปี 20 เดือนลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 13 ปี 10 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share