แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สมาคมจำเลยมิได้ขออนุญาตเป็นสมาคมการค้าภายในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้าฯ มาตรา 54 จึงไม่มีชื่อจำเลยเป็นสมาคมในทะเบียน ส่วนสมาคมพ่อค้ายา กรุงเทพซึ่งอยู่ในตึกแถวพิพาทที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งเป็นสมาคมการค้าขึ้นใหม่แม้ชื่อจะมีความหมายอย่างเดียวกับชื่อของจำเลย แต่ก็เป็นชื่อเฉพาะเสียงเรียกต่างกัน จึงเป็นบุคคลต่างกัน เมื่อจำเลยไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลในขณะถูกฟ้อง จำเลยก็ไม่อาจถูกฟ้องและไม่มีตัวตนที่จะยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อตึกแถวมาจากผู้ให้เช่าครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วแต่จำเลยไม่ยอมออกไป ขอให้บังคับจำเลยและบริวารให้ออกจากตึกแถวที่เช่าและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า เมื่อปี พ.ศ. 2509 จำเลยได้จดทะเบียนเลิกสมาคมแล้ว จึงไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล แต่มีสมาคมพ่อค้ายากรุงเทพซึ่งมีชื่อภาษาจีนว่าเลี่ยงฮั้วเอี๊ยะเงี้ยบกงหวย ขอให้ตึกแถวพิพาทเป็นสำนักงานจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ต่อจากจำเลยและได้ทำสัญญาเช่าต่อจากสัญญาฉบับเดิมเป็นเวลาอีก 3 ปี โจทก์ต้องผูกพันตามสัญญาเช่าด้วย
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ในวันนัดสืบพยานจำเลยสมาคมพ่อค้ายากรุงเทพยื่นคำแถลงว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีเพราะสำคัญผิดว่าถูกฟ้องเนื่องจากมีชื่อคล้ายกับจำเลย ผู้ร้องจึงขอถอนตัวจากคดีนี้ และทนายความจำเลยขอถอนคำให้การ ทนายโจทก์แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ทนายความจำเลยถอนคำให้การและสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณา ตั้งแต่จำเลยขออนุญาตยื่นคำให้การตามคำร้องลงวันที่ 29 มิถุนายน 2527 เป็นต้นมา
ทนายความโจทก์แถลงว่า ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วโดยชอบ คดีอยู่ในระหว่างสืบพยานจำเลย ขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ และนัดฟังคำพิพากษาต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วสั่งว่า โจทก์ไม่ติดใจขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยตามประเด็นที่สั่งไว้ แล้วพิพากษาไปตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่าบุคคลที่ให้การต่อสู้คดีเป็นจำเลยหรือเป็นบุคคลอื่น ข้อเท็จจริงได้ความว่ามีชื่อจำเลยแต่งตั้งทนายความ และทนายความได้ยื่นคำให้การในชื่อของจำเลยตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาก็กระทำในชื่อของจำเลยเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จในวันนัดสืบพยานจำเลย สมาคมพ่อค้ายากรุงเทพยื่นคำแถลงว่าสมาคมพ่อค้ายากรุงเทพเป็นผู้แต่งตั้งทนายความและยื่นคำให้การต่อสู้คดีเพราะสำคัญผิดว่าถูกฟ้อง เนื่องจากมีชื่อคล้ายกัน ไม่ใช่จำเลย ส่วนจำเลยไม่ได้จดทะเบียนเป็นสมาคมตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มีปัญหาว่าข้ออ้างของสมาคมพ่อค้ายากรุงเทพเป็นความจริงหรือไม่ เห็นว่าตามเอกสารหมาย จ.10 จำเลยได้รับใบอนุญาตให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 มาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2486มาตรา 5 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 แต่ตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้าพ.ศ. 2509 ออกใช้บังคับเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2509 มีบทเฉพาะกาลตามมาตรา 55 ระบุว่าให้บรรดาสมาคมที่จดทะเบียนเป็นสมาคมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ อันมีลักษณะหรือวัตถุประสงค์อย่างเดียวกับสมาคมการค้าหากประสงค์จะเป็นสมาคมการค้าตามพระราชบัญญัตินี้ต้องขออนุญาตเป็นสมาคมการค้าภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ถ้าสมาคมที่มีลักษณะหรือวัตถุประสงค์อย่างเดียวกับสมาคมการค้าที่ได้จดทะเบียนเป็นสมาคมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ขออนุญาตเป็นสมาคมการค้าตามพระราชบัญญัตินี้ภายในกำหนดดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นอันเลิก และให้นายทะเบียนสมาคมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขีดชื่อสมาคมนั้นออกเสียจากทะเบียนสมาคมฯ ตามหนังสือกองสถาบันการค้า กรมการค้าภายในสำนักงานทะเบียนสมาคมการค้าประจำกรุงเทพมหานคร ลงวันที่9 ตุลาคม 2527 ระบุว่าจำเลยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมการค้าตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 แสดงว่าจำเลยมิได้ขออนุญาตเป็นสมาคมการค้าภายในกำหนดตามบทเฉพาะกาลและไม่ได้ขออนุญาตจัดตั้งสมาคมการค้าขึ้นใหม่ จึงไม่มีชื่อจำเลยเป็นสมาคมในทะเบียนดังนั้นจำเลยจึงไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลในขณะถูกฟ้องส่วนสมาคมพ่อค้ายากรุงเทพได้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งเป็นสมาคมการค้าขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2509 ได้รับใบอนุญาตในปี พ.ศ. 2511ชื่อของจำเลยและชื่อของสมาคมพ่อค้ายากรุงเทพแม้จะมีความหมายอย่างเดียวกัน แต่ก็เป็นชื่อเฉพาะเสียงเรียกต่างกัน จึงฟังได้ว่าเป็นบุคคลต่างกัน เมื่อจำเลยไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลในขณะถูกฟ้องจำเลยก็ไม่อาจถูกฟ้องและไม่มีตัวตนที่จะยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้ทำการไต่สวนก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏชัดว่าจำเลยไม่มีตัวตนแล้ว ศาลย่อมรับฟังได้โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนอีก และคดีไม่มีเหตุที่จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ยกฟ้อง