คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4155/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้มีดแบบปอกผลไม้ที่จำเลยพาติดตัวไปในโรงภาพยนต์ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ แต่เมื่อจำเลยได้ใช้มีดนั้นแทงผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 จำเลยมีความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวและเป็นความผิดอีกรรมหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพาอาวุธมีดแบบปอกผลไม้ ๑ เล่ม ยาว ๑ คืบ ติดตัวไปในโรงภาพยนตร์อันเป็นที่ชุมนุมชน โรงมหรสพจัดให้มีขึ้นเพื่อการรื่นเริงโดยไม่มีเหตุสมควรและใช้อาวุธมีดนั้นแทงนายประจวบ ชอบใจ ผู้เสียหายที่บริเวณหน้าอกได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๕๘, ๙๑,๒๙๗, ๓๗๑ ริบอาวุธมีดของกลางและบวกโทษของจำเลยที่รอไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๙๓๖/๒๕๓๐ ของศาลแขวงพระนครเหนือเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าถูกลงโทษและรอการลงโทษจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๕๘, ๙๑, ๓๙๗, ๓๗๑ ลงโทษตามมาตรา ๒๙๗ อันเป็นบทหนัก จำคุก ๕ ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จำคุก ๒ ปี ๖ เดือน บวกโทษจำคุก ๑๕ วันที่รอการลงโทษไว้ รวมจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน ๑๕ วัน ริบอาวุธมีดของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรม
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องเฉพาะข้อหาฐานพาอาวุธ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ และเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้พาอาวุธมีดแบบปอกผลไม้ ๑ เล่ม ยาวประมาณ ๑ คืบ ติดตัวไปในโรงภาพยนตร์จักรวาลอันเป็นที่ชุมนุมชน โรงมหรสพจัดให้มีขึ้นเพื่อการรื่นเริงโดยไม่มีเหตุสมควรและจำเลยได้ใช้อาวุธมีดนั้นแทงทำร้ายร่างกายนายประจวบ ชอบใจ ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำการดังฟ้อง ดังนี้แม้มีดแบบปอกผลไม้ที่จำเลยพาไปจะมิใช่อาวุธโดยสภาพก็ตามแต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๕) ให้คำจำกัดความคำว่า “อาวุธ” ว่า “หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่ซึ่งได้ใข้หรือเจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ” เมื่อจำเลยได้ใช้มีดแบบปอกผลไม้ตามฟ้องแทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส มีดแบบปอกผลไม้ที่จำเลยพาไปจึงเป็นอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ จำเลยจึงมีความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว และการที่จำเลยพาอาวุธมีดไปนั้นเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส จึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ ให้ปรับ ๑๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๕๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share