แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ว่าจ้างโจทก์ให้ปรับปรุงที่ดินของจำเลยที่ 1 และบอกเลิกสัญญากับโจทก์ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของจำเลยที่เป็นการกระทำในหน้าที่ในฐานะที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นนิติบุคคลจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าอาวาสของจำเลยที่ 1 และอาจนำเอาฐานะของตนเองไปทำการต่าง ๆ กับบุคคลอื่น ๆ ได้ จึงต้องรับผิดชอบในฐานะส่วนตัวด้วย จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนจัดที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้ประชาชนอยู่อาศัย จำเลยทั้งสามจ้างโจทก์ปรับปรุงที่ดินของโจทก์รวม 7รายการ การว่าจ้างมิได้ทำเป็นหนังสือ โจทก์ทำงานไป 22 วันงานเสร็จถึง 45 เปอร์เซนต์ หากทำต่ออีก 22 วัน งานก็เสร็จเรียบร้อยแต่จำเลยทั้งสามสั่งให้โจทก์หยุดทำงาน และขนย้ายเครื่องมือออกไปจากที่ดินของจำเลย โดยโจทก์มิได้ทำงานผิดข้อตกลง ทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน 451,475 บาท ขอให้บังคับจำเลยให้โจทก์กลับเข้าทำงานในที่ดินของจำเลยจนเสร็จ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายดังกล่าวก่อนโจทก์จะดำเนินการในที่ดินของจำเลยต่อไป กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า เป็นแต่เพียงผู้ติดต่อให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ไปตกลงกับโจทก์เท่านั้น จึงไม่ต้องรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2จำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 บอกให้โจทก์งดทำงานเพราะโจทก์มิได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย221,475 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออย่างอื่นเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2นอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นโจทก์ฟ้องให้รับผิดตามสัญญาในฐานะส่วนตัว แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ว่าจ้างโจทก์ให้ปรับปรุงที่ดินของจำเลยที่ 1 และบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำในหน้าที่ในฐานะที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นนิติบุคคล จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ฯลฯ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหาย 221,475 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.