คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์ร่วมมิใช่ผู้นำเช็คไปเบิกเงินผู้นำเช็คไปเบิกเงินคือ ส. โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมมอบให้ ส. ไปเบิกเงินแทนแต่อย่างใด ดังนั้นโจทก์ร่วมมิใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายขณะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงมิใช่ผู้เสียหาย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
จำเลยให้การปฏิเสธ
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ให้ลงโทษจำคุก6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยเป็นผู้ออกเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายเงินสดให้แก่ผู้ถือปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาเมื่อมีการเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2525 ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า ‘บัญชีปิดแล้ว’ ปรากฏตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.2 ในการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมเป็นการชำระหนี้ดังโจทก์ฟ้องหรือไม่ ฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์ร่วมปากเดียวที่เป็นพยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมเนื่องจากจำเลยยืมเงินโจทก์ร่วมไป 2 ครั้ง ครั้งละ 50,000 บาท จำเลยออกเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ร่วมไว้ ซึ่งต่อมาจำเลยได้ขอเปลี่ยนเช็คเป็นการเลื่อนกำหนดชำระหนี้หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายได้ออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านในตอนต้นว่า จำเลยออกเช็คจำนวน 125,000 บาท หมาย จ.1 เพียงฉบับเดียว ต่อมาอีกตอนหนึ่งกลับเบิกความว่าจำเลยได้ออกเช็คจำนวนเงิน 125,000 บาท ให้ 2 ฉบับ ในเวลาใกล้เคียงกัน จำวันที่ที่ลงไม่ได้ แต่ตอนหลังตอบทนายโจทก์ร่วมว่าเช็คในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 911/2525 ของศาลชั้นต้นอีกฉบับหนึ่งจำนวนเงิน125,000 บาทเช่นกัน และลงวันที่วันเดียวกันด้วย เนื่องจากจำเลยขอให้แยกเงิน 250,000 บาทออกเป็น 2 จำนวน เห็นว่าโจทก์ร่วมเบิกความกลับไปกลับมา และขัดกับที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 100,000 บาท ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเหตุใดจึงเป็นจำนวนเงิน 250,000 บาท ซึ่งจำเลยต้องออกเช็ค 2 ฉบับ คือเช็คพิพาทในคดีนี้และเช็คในคดีอาญาหมายเลขแดงที่911/2525 ของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นจำนวนเงิน 125,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินในเช็คพิพาทคดีนี้ และลงวันที่วันเดียวกันด้วยคำเบิกความของโจทก์ร่วมมิได้แสดงเหตุผลให้เข้าใจได้กระจ่างชัดอันจะพอทำให้เชื่อถือได้จึงไม่ค่อยมีน้ำหนัก ส่วนจำเลยนำสืบว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมนำไปแลกเงินสด นำมาให้กู้เอากำไรแบ่งกัน มีตัวจำเลยและนายทองยุทธ ยอดเมืองเบิกความสอดคล้องต้องกันได้ความดังกล่าว นอกจากนี้จำเลยเบิกความว่านางยุพิน ศรีสุโข เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาท ซึ่งนางยุพินเบิกความเป็นพยานจำเลยว่าได้ลงลายมือชื่อรับรองเช็คพิพาทไว้ด้านหลังเช็คสอดคล้องกับคำจำเลย และปรากฏเป็นจริงเช่นนั้นในเช็คพิพาท การที่จำเลยออกเช็คพิพาทกับเช็คอีกฉบับหนึ่งในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 911/2525 ของศาลชั้นต้นจำนวนเงินเท่ากันและลงวันที่วันเดียวกันนั้น หากจำเลยออกเป็นการชำระหนี้โจทก์ร่วมก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอว่าเหตุใดจำเลยจึงต้องออกเช็คเป็น 2 ฉบับเช่นนั้นตรงกันข้ามหากเป็นการออกเช็คเพื่อให้โจทก์ร่วมนำไปแลกเงินสดมาให้กู้เงินจำนวนมากอาจจะต้องไปหากู้จากบุคคลอื่นถึง 2 คน จำเลยจึงต้องออกเช็คเป็น 2 ฉบับนับว่ามีเหตุผลอยู่ เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่ค่อยมีน้ำหนักและปราศจากเหตุผลดังวินิจฉัยมา แต่พยานหลักฐานจำเลยน่าเชื่อถือ และมีเหตุผลดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ร่วม ประกอบกับข้อเท็จจริงปรากฏว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือและได้ความจากนายนเรศวร์ สุกัณศีล ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีธนาคารตามเช็คขณะเกิดเหตุว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้นำเช็คไปเบิกเงิน ผู้นำเช็คไปเบิกเงินคือนายสุกิจ แจ้งสว่าง โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมมอบให้นายสุกิจไปเบิกเงินแทนแต่อย่างใด ดังนั้นโจทก์ร่วมมิใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายขณะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงมิใช่ผู้เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share