แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 3 ปี4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง,67 ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะใช้ถ้อยคำว่าให้ยกฟ้องข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ก็มีผลเป็นการแก้เฉพาะบทลงโทษเท่านั้น มิได้แก้กำหนดโทษถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 47 เม็ด น้ำหนัก3.29 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งจำคุก 5 ปี คำให้การจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,67 ให้ยกฟ้องข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 5 ปีลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74แล้ว คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะใช้ถ้อยคำว่า ให้ยกฟ้องข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยก็ตาม แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ก็มีผลเป็นการแก้เฉพาะบทลงโทษเท่านั้น มิได้แก้กำหนดโทษ ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 47 เม็ด ผิดปกติวิสัยของผู้ติดยาเสพติดประเภทนี้ซึ่งจะมีไว้เพื่อเสพเพียง 1 ถึง 2 เม็ดเท่านั้น จำเลยถูกจับบริเวณไร่อ้อยมีคนงานตัดอ้อย โดยจำเลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปในไร่อ้อย พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยจะนำเมทแอมเฟตามีนไปจำหน่ายแก่คนงานตัดอ้อยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 7ที่วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้นฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการรับรองหรืออนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะตามฎีกาของจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตดังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน