คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 315/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมิได้กล่าวในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ว่าสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอมและศาลอุทธรณ์ก็มิได้ยกประเด็นที่ว่าสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในประเด็นดังกล่าวเพราะมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
จำเลยกู้เงินโจทก์ 5,000 บาท ต่อมาจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้โดยทำเป็นหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นการแปลงหนี้ใหม่มาจากหนี้เงินกู้ยืมและในสัญญาจะซื้อขายได้กำหนดราคาที่พิพาทไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาทที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่พิพาทมีราคา 10,000 บาทสูงกว่าหนี้เงินกู้นั้นก็เป็นราคาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาไว้สำหรับให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นเท่านั้นหาใช่ราคาท้องตลาดแห่งที่พิพาทในเวลาที่ทำสัญญากันไม่เมื่อตามข้อสัญญาได้มีการกำหนดราคาที่พิพาทลงไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาทและไม่ปรากฏว่าเป็นราคาผิดกับราคาท้องตลาดในขณะนั้นสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทจึงมีผลใช้บังคับได้หาเป็นโมฆะเพราะขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2500 จำเลยกู้เงินโจทก์ 5,000 บาท ต่อมาจำเลยขอโอนที่ดินให้โจทก์แทนการชำระหนี้เงินกู้ โดยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2502 และจำเลยมอบอำนาจให้นายหวันโอนขายที่ดินแทนจำเลย แต่ต่อมาจำเลยไม่ยอมโอนและมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์ ขอให้พิพากษาให้จำเลยโอนมอบที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้โจทก์ หรือให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า โจทก์ว่าจ้างให้จำเลยเป็นหัวคะแนนหาเสียงให้โจทก์ในราคา 5,000 บาท ให้จำเลยลงชื่อรับเงินค่าจ้างในต้นขั้วเช็ค และลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญาจะซื้อขายและหนังสือมอบอำนาจเพื่อป้องกันการบิดพลิ้วสัญญาจะซื้อขายเป็นเอกสารปลอมและเป็นโมฆะ ขาดอายุความ

ในระหว่างสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นสอบโจทก์จำเลยถึงราคาที่ดินเมื่อ พ.ศ. 2502 โจทก์จำเลยรับกันว่าราคาที่ดินทั้งแปลงประมาณ 30,000บาท ส่วนที่โจทก์จะซื้อมีเนื้อที่เพียง 1 ใน 3 ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามราคาที่ดินพิพาทในทุนทรัพย์ 10,000 บาท

ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่พิพาทมีราคาอย่างน้อย 10,000 บาท สูงกว่าหนี้เงินกู้ การที่จำเลยตกลงจะโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้จึงตกเป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยโอนที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อขายให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยฎีกา

ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอมนั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป5,000 บาท ต่อมา พ.ศ. 2502 จำเลยจะนำที่พิพาทมาโอนให้โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ จึงทำสัญญาจะซื้อขายกัน และทำหนังสือมอบอำนาจเมื่อจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ จำเลยมิได้กล่าวในคำแก้อุทธรณ์ว่าสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอม และศาลอุทธรณ์ก็มิได้ยกประเด็นที่ว่าสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยนอกจากนี้จำเลยยังกล่าวในอุทธรณ์ของจำเลยที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับว่าตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น จำเลยเห็นว่าชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว จำเลยไม่เห็นชอบด้วยเฉพาะข้อที่ศาลชั้นต้นให้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความเป็นพับเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย เพราะมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 บัญญัติไว้

ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นโมฆะเพราะขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 นั้น เห็นว่า สัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นการแปลงหนี้ใหม่มาจากหนี้เงินกู้ยืม แม้จะฟังว่าโจทก์ยอมรับเอาที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อขายเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมก็ตาม แต่ในสัญญาดังกล่าวปรากฏว่าจำเลยได้กำหนดราคาที่พิพาทไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาท และไม่ปรากฏว่าเป็นราคาผิดกับราคาท้องตลาดในขณะนั้นที่โจทก์และจำเลยรับกันว่าขณะทำสัญญาจะซื้อขายราคาที่ดินทั้งแปลงประมาณ 30,000 บาท และส่วนที่โจทก์จะซื้อมีเนื้อที่เพียง 1 ใน 3 ของที่ดินทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่เป็นการยอมรับกันว่า ราคาท้องตลาดแห่งที่พิพาทในขณะนั้นเป็นราคาเท่าใด และที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่พิพาทที่จำเลยตกลงจะโอนให้โจทก์มีราคา 10,000 บาท สูงกว่าหนี้เงินกู้นั้น ก็เป็นราคาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาไว้สำหรับให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นเท่านั้น หาใช่ราคาท้องตลาดแห่งที่พิพาทในเวลาที่ทำสัญญากันไม่ เมื่อตามข้อสัญญาได้มีการกำหนดราคาที่พิพาทลงไว้แน่นอนว่าเป็นราคา 5,000 บาท และไม่ปรากฏว่าเป็นราคาผิดกับราคาท้องตลาดเช่นนี้สัญญาจะซื้อขายที่พิพาทจึงมีผลใช้บังคับได้ หาเป็นโมฆะเพราะขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 ไม่

พิพากษายืน

Share