คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคำฟ้องโจทก์บรรยายไว้ว่า การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 โจทก์ไม่รู้เห็นยินยอม และได้เน้นอีกว่า. เป็นการยกให้โดยเสน่หาปราศจากสิ่งตอบแทน ไม่ใช่เป็นการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ เป็นการโต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์ เป็นปู่ย่าของจำเลยที่ 2 มีที่ดินนอกจากที่พิพาทอีกหลายแปลง มีราคานับล้านบาท ที่พิพาทส่วนที่ยกให้เป็นเพียงส่วนน้อย มีราคาไม่มาก การยกให้ โจทก์ก็ทราบดีและยินยอม อันเป็นการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ไม่จำเป็นต้องให้ความยินยอมเป็นหลักฐานเห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ที่ว่า ไม่ได้ให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ทั้งได้อธิบายเกี่ยวกับการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีไว้ชัดแจ้ง จึงเป็นประเด็นแห่งคดี
การที่จำเลยที่ 1 ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 นอกจากจะเป็นการยกให้โดยเสน่หาปราศจากสิ่งตอบแทนแล้ว ในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นหลานของโจทก์และจำเลยที่ 1 เคยอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูแต่เล็กมาจนโต ทั้งจำเลยที่1 กับโจทก์ยังมีที่ดินอีกหลายแปลงมีราคานับล้านบาทการยกให้ดังกล่าวจึงเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี และไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ซึ่งเป็นภริยา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนนิติกรรมยกที่ดินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา โดยโจทก์ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้ให้ความยินยอม ทั้งมิใช่เป็นการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางสมาคม เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 ขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมการโอนยกให้โดยเสน่หาซึ่งที่ดินพิพาทเป็นโมฆะ และมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมสัญญายกให้ดังกล่าวนั้นเสีย กับสั่งให้ที่ดินโฉนดแปลงพิพาทกลับมาเป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามเดิม

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มีความประสงค์จะยกที่พิพาทให้แก่บิดาจำเลยที่ 2 และโจทก์คนละเท่า ๆ กัน ได้มอบฉันทะให้จำเลยที่ 2 นำโฉนดที่ดินไปแบ่งแยกให้แก่บุคคลทั้งสอง ต่อมาได้ทราบว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้จำเลยที่ 1 เซ็นชื่อในสัญญายกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เป็นการผิดความประสงค์ของจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุตรสาวของบุตรชายคนโตของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นปู่ย่าของจำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 1 มีที่ดิน 5 แปลง รวมราคาทั้งสิ้นประมาณหนึ่งล้านหกแสนบาทเศษ จำเลยที่ 1 ได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทราคาเพียงหนึ่งแสนบาทให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหลาน โดยโจทก์เองก็ทราบดีและยินยอม อันเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี จึงได้รับยกเว้นมิต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหลักฐาน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่พิพาทเป็นสินสมรส การยกให้โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากโจทก์ ไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย และสามีภริยายังไม่ได้หย่าขาดจากกันสินสมรสจึงระคนปนกันอยู่ ส่วนข้อโต้แย้งของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับประเด็นนำสืบของจำเลยที่ 2 ที่ขอให้ศาลเพิ่มประเด็นตามคำให้การอีกว่าจำเลยที่ 1 ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหลักฐานนั้น เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับข้อนี้ยังไม่ชัดแจ้ง จึงไม่เป็นประเด็นในคดี พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จากคำฟ้องประกอบกับคำให้การของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ได้ให้การเกี่ยวกับการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีไว้โดยชัดแจ้งแล้ว จึงเป็นประเด็นแห่งคดี และฟังว่าการยกให้ดังกล่าวเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีด้วย จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นสามีโจทก์จึงไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3) โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอน พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แต่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทน ปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือไม่ ไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยและศาลชั้นต้นก็วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งไม่รับวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การของจำเลยที่ 2 ประกอบกันแล้ว เห็นว่า ในคำฟ้องโจทก์นอกจากจะบรรยายไว้ว่า การยกให้โจทก์ไม่รู้เห็นยินยอมแล้ว ยังได้เน้นอีกว่าเป็นการยกให้โดยเสน่หาปราศจากสิ่งทดแทน ไม่ใช่เป็นการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี จำเลยที่ 2ให้การปฏิเสธเป็นการโต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 กับโจทก์เป็นปู่ย่าของจำเลยที่ 2มีที่ดินนอกจากที่พิพาทอีกหลายแปลง ราคานับล้านบาท ที่พิพาทส่วนที่ยกให้เป็นเพียงส่วนน้อย มีราคาไม่มาก การยกให้โจทก์ก็ทราบดีและยินยอม เป็นการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ไม่จำเป็นต้องให้ความยินยอมเป็นหลักฐาน เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ที่ว่าไม่ได้ให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ทั้งได้อธิบายเกี่ยวกับการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีไว้โดยชัดแจ้งแล้ว จึงเป็นประเด็นแห่งคดี ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นอกจากที่พิพาทแล้ว โจทก์ยังมีที่ดินสินสมรสอื่นอีก 5 แปลง ราคานับล้านบาท บางแปลงแบ่งแยกยกให้แก่บุตรไปบ้างแล้ว โจทก์ทราบและไม่เคยคัดค้านเลยเมื่อบิดาจำเลยที่ 2 เลิกร้างกับมารดาจำเลยที่ 2 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้รับเลี้ยงให้ความอุปการะแก่จำเลยที่ 2 ตั้งแต่เล็กจนโตและแยกไปมีครอบครัว และบิดาจำเลยที่ 2 ก็ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท การที่จำเลยที่ 1 ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 นอกจากจะเป็นการยกให้โดยเสน่หา ปราศจากสิ่งตอบแทนแล้ว ในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นหลานของโจทก์ และจำเลยที่ 2 เคยอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูแต่เล็กมาจนโต ทั้งจำเลยที่ 1 กับโจทก์ยังมีที่ดินสินสมรสอีกหลายแปลง มีราคานับล้านบาท การยกให้ดังกล่าวจึงเป็นการยกให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี การให้ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการจำหน่ายสินบริคณห์ซึ่งในฐานะเป็นสามีของโจทก์ ย่อมมีอำนาจที่จะกระทำได้ ไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ซึ่งเป็นภริยา นิติกรรมการยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอน

พิพากษายืน

Share