แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของ 2 ส่วน ราคา 2,000 บาท ในที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่ง จำเลยไปแจ้งการครอบครองเอาเป็นของจำเลย ขอให้พิพากษาทำลายแบบ ส.ค. 1 ของจำเลยและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์กับผู้อื่นร่วมกัน แต่จำเลยได้แย่งการครอบครองเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์หมดสิทธิฟ้องเอาคืน พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจะถือว่าจำเลยแย่งการครอบครองยังไม่ถนัด แต่ยังไม่ได้ความชัดพอให้ชี้ขาดว่าส่วนของโจทก์มีเพียงใด จึงพิพากษายืนในผลที่ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะดำเนินคดีเรียกร้องใหม่ ดังนี้ มีผลเป็นการพิพากษากลับกันมา ไม่ใช่ยืน จำเลยจึงฎีกาในข้อเท็จจริงได้ และเมื่อศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็ย่อมพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลยที่ ๑ นายหมาดเต็มและนายเพียรได้รับมรดกที่สวน ๑ แปลงมาจากนางบุญ และได้ปกครองร่วมกันมาราว ๑๐ ปีแล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ สมคบกับจำเลยที่ ๒ ไปแจ้งการครอบครองเอาเป็นของจำเลยเสีย โจทก์ไปเก็บผลไม้ จำเลยที่ ๒ ก็ห้าม อ้างว่าสวนเป็นของจำเลยแล้ว ทรัพย์มรดกรายนี้โจทก์มีสิทธิได้ ๒ ส่วน เป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท ขอให้ทำลายแบบ ส.ค.๑ ของจำเลยเสีย ให้จำเลยที่ ๑ แบ่งที่พิพาทให้โจทก์ ๒ ส่วน ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ และว่าแม้จะฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นของนางบุญจริง โจทก์ก็ขอแบ่งไม่ได้เพราะขาดอายุความแล้ว
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าที่สวนพิพาทเป็นของนายคงพ่อตาจำเลยที่ ๒ ซื้อมาแล้วยกให้จำเลยที่ ๒ ครอบครองมา ๑๐ ปีเศษแล้ว คดีขาดอายุความแล้ว ทั้งโจทก์กับทายาทนางบุญก็ได้สละสิทธิครอบครองให้จำเลยที่ ๒ แล้ว จึงไม่มีสิทธิเอาคืนได้
ศาลชั้นต้นฟังว่า เดิมที่พิพาทเป็นของนางบุญ เป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ นายหมาดเต็บและนางเพียร จริง และจำเลยที่ ๒ ได้แจ้งการครอบครองว่าเป็นของตน เห็นว่า โจทก์รู้ว่าจำเลยที่ ๒ แจ้งการครอบครองที่พิพาทตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งมีลักษณะเป็นการแย่งการครอบครอง ทั้งได้ครอบครองตลอดมาอย่างเป็นเจ้าของ ซึ่งเกิน ๑ ปีแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ก็ฟังว่า เดิมที่พิพาทเป็นของนางบุญยายโจทก์ แต่เห็นว่าการที่โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๒ ไปแจ้งการครอบครองก็มิได้คัดค้านนั้น จะถือว่าโจทก์สละสิทธิและเป็นการ (ที่จำเลย) แย่งการครอบครองยังไม่ถนัด แต่ที่โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีส่วนอยู่ ๒ ส่วน ในที่พิพาทนั้นก็ไม่ได้ความชัด ยังมิชอบที่จะชี้ขาดว่าส่วนของโจทก์มีเพียงใด จึงพิพากษายืนโดยผลในข้อที่ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ จึงไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะดำเนินคดีเรียกร้องเอาที่ดินตามสิทธิตามส่วนของโจทก์ต่อไป
จำเลยที่ ๒ ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับ โดยอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยผลของคำพิพากษา แต่เป็นคำพิพากษาที่ว่า จำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิในที่พิพาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกา โจทก์แก้ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในผลอันเดียวกัน จำเลยที่ ๒ ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ โดยได้สิทธิมาโดยแย่งการครอบครอง ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นมรดกได้แก่โจทก์กับทายาทซึ่งได้ครอบครองร่วมกันมา โดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ไม่มีสิทธิในที่พิพาทเลย เช่นนี้ แสดงว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชนะคดีเต็มตามข้อต่อสู้ได้ที่พิพาททั้งแปลง แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๒ แพ้คดีเสียที่พิพาททั้งแปลง จึงเป็นการพิพากษากลับมา ไม่ใช่มีผลเป็นการตัดสินยืนกันมา จำเลยที่ ๒ จึงฎีกาในข้อเท็จจริงได้ และศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ ๒ ได้เข้าครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของมา ๑๐ ปีเศษแล้ว แม้เดิมจะเป็นมรดกของนางบุญจริง โจทก์ก็หมดสิทธิฟ้องเอาคืนจากจำเลยที่ ๒ ได้ เห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น