คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4143/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อเจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินไปแล้ว หากจำเลยผู้รับแจ้งประเมินไม่นำเงินค่าภาษีอากรไปชำระภายในกำหนด กฎหมายให้ถือว่าเป็นภาษีอากรค้าง ซึ่งเจ้าพนักงานมีอำนาจตามประมวลรัษฎากรมาตรา 12 ที่จะสั่งยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยได้โดยไม่ต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาล ดังนั้น การแจ้งการประเมินภาษีอากรย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 ไม่ใช่บทบัญญัติให้ผู้ถือหุ้นรับผิดต่อเจ้าหนี้ของบริษัท จำเลยที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นจึงไม่มีหน้าที่ชำระภาษีที่บริษัทจำเลยที่ 1 ค้างชำระต่อกรมสรรพากรโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ การที่จำเลยที่ 2 และที่ 4ถึงที่ 8 ไม่ชำระภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระต่อโจทก์จึงหาเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งไม่ใช่กรณีที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นค้างชำระแทนจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ในนามของโจทก์ได้เพราะตามฟ้องไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นเช่นนั้นศาลภาษีอากรกลางจึงไม่มีอำนาจพิพากษาคดีในปัญหาข้อนี้ อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่มิได้อุทธรณ์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหมดชำระหนี้ค่าภาษีอากรของบริษัทจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นร่วมรับผิดเพียงไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบ จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 ถึงที่ 8 ให้การต่อสู้คดี ส่วนจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชำระภาษี 436,143.20 บาท แก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ร่วมรับผิดไม่เกินค่าหุ้นที่แต่ละคนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าที่ตนถือ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อที่จำเลยดังกล่าวอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ระบุว่าจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระภาษีเมื่อใดนั้นเห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น การผ่อนชำระภาษีเมื่อใดไม่ใช่ข้อหาของโจทก์ คำขอบังคับหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา แต่เป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาการที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยไม่ได้ระบุวันผ่อนชำระภาษีอากรมาด้วยจึงหาทำให้ฟ้องเคลือบคลุมดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่
ข้อที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8 อุทธรณ์ว่า การแจ้งประเมินไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเพราะไม่ใช่การฟ้องคดีนั้น เห็นว่าเมื่อเจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินไปแล้ว หากจำเลยผู้รับแจ้งประเมินไม่นำเงินภาษีอากรไปชำระภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้กฎหมายให้ถือว่าเป็นภาษีอากรค้าง ซึ่งเจ้าพนักงานมีอำนาจที่จะสั่งยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยผู้รับแจ้งการประเมินได้โดยไม่ต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรมาตรา 12 การประเมินดังกล่าวจึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีดังนั้นการแจ้งประเมินภาษีอากร ย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 อุทธรณ์ของจำเลยในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8 อีกว่าจำเลยที่กล่าวแล้วซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและยังชำระค่าหุ้นไม่เต็มมูลค่าจะต้องร่วมรับผิดในหนี้ของบริษัทร่วมกับจำเลยที่ 1 ในส่วนของมูลค่าหุ้นที่ตนยังชำระไม่ครบหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ผู้ถือหุ้นร่วมกับบริษัทรับผิดต่อเจ้าหนี้ของบริษัท ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1096 บัญญัติถึงผู้ถือหุ้นว่ารับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าหุ้นที่ตนถือ เห็นว่าเป็นส่วนหนึ่งของบทบัญญัติที่ให้คำนิยามว่าบริษัทจำกัดคืออะไร จึงไม่ใช่บทกฎหมายที่บัญญัติให้ผู้ถือหุ้นรับผิดต่อเจ้าหนี้ของบริษัท ผู้ถือหุ้นจึงไม่มีหน้าที่ชำระภาษีที่บริษัทค้างชำระต่อกรมสรรพากรซึ่งเป็นเจ้าหนี้การที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8 ไม่ชำระภาษีอากรที่จำเลยที่ 1ค้างชำระต่อโจทก์ จึงหาได้เป็นการโต้แย้งสิทธิที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 บัญญัติไว้ไม่ ทั้งไม่ใช่กรณีที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นค้างชำระแทนจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ในนามของโจทก์ได้ เพราะตามฟ้องไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นเช่นนั้น ฉะนั้นที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาคดีในปัญหาข้อนี้มา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2และที่ 4 ถึงที่ 8 ฟังขึ้น อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและมิได้อุทธรณ์ได้ด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 โดยเหตุผลดังกล่าวได้ยกขึ้นวินิจฉัยแล้วเช่นเดียวกันเมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องผู้ถือหุ้นดังได้วินิจฉัยแล้ว กรณีไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 8 อีก”
พิพากษาแก้เป็นว่า ฟ้องโจทก์สำหรับคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2ถึงที่ 8 ให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share