แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นพนักงานของรัฐบาลรับเงินมาจากคลังเพื่อจ่ายเป็นค่าจ้าง ค่าเบี้ยเลี้ยงแก่เอกชน แล้วยักยอกเอาเป็นประโยชน์ตนเสียดังนี้ อัยยการมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีได้ โดยไม่ต้องมีใครร้องทุกข์
หลักวินิจฉัย ประเด็นที่ศาลล่างยังมิได้วินิจฉัยถึงศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
ในเรื่องอำนาจฟ้องนั้น แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
เมื่อฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาที่ไม่ควรรับวินิจฉัยทั้งหมด ศาลฎีกาก็ยังมีอำนาจยกข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ตามลำพัง
การฟ้องคดีอาญาถือว่าเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ย่อยาว
จำเลยรับราชการเป็นเสมียนตราจังหวัดมีหน้าที่รับเบิกจ่ายเงินราชการต่าง ๆ จำเลยเบิกเงินจากคลังจังหวัดมาแล้วสำรับเป็นค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าจ้างคน แล้วจำเลยยักยอกเงินนั้นไว้บางส่วน เป็นประโยชน์ส่วนตนเสีย โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ม.๑๓๑-๓๑๙
ศาลขั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายข้อเดียวว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะว่าเมื่อเสมียนตราเบิกเงินไปจากคลังจังหวัดแล้ว คลังไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ควรจะได้รับเงิน รัฐบาลจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย แลจำเลยไม่ได้เป็นผู้จัดการทรัพย์ตาม ม.๓๑๙ ข้อ ๒ เมื่อไม่มีผู้ใดมาร้องทุกข์ โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ถ้าจำเลยยักยอกเงินไปจริง จำเลยก็ควรมีผิด คดีไม่ใช่ความผิดส่วนตัว แม้เงินที่จำเลยยักยอกเป็นเงินที่จ่ายให้เอกชนก็ต้องถือว่าอยู่ในหน้าที่จำเลยปกครองรักษา จึงพิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ
จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่สามารถจะยักยอกได้ แลว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องได้แลเห็นว่าข้อกฎหมายที่ศาลล่างวินิจฉัยมามีฉะเพาะข้ออำนาจฟ้องข้อเดียว ข้อที่จำเลยยกขึ้นฎีกาเป็นข้อที่ศาลล่างยังมิได้พิจารณาพิพากษา จำเลยฎีกาไม่ได้ จึงให้ยกฎีกาจำเลย