แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกจับตัวผู้เสียหายไปควบคุมตัวไว้แล้วบังคับเอาเงินจากพ่อตาและภรรยาเพื่อสินไถ่และเรียกผู้เสียหายคนอื่นอีก 6 คนมาหาว่าลักควาย บังคับให้หาเงินมาให้จำเลยดังนี้ การกระทำในตอนแรกเป็นเรื่องจับตัวไปบังคับเรียกเอาค่าสินไถ่โดยตรง การกระทำในตอนหลัง ก็ไม่มีกริยาเป็นโจรชิงทรัพย์ตามความหมายของ ก.ม. จึงไม่ใช่ความผิดฐานชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า จำเลยมีความผิดตามกฏหมายอาญามาตรา 301 – 270 แต่ให้รวมกะทงลงโทษตาม ม.270 ซึ่งเป็นบทหนักแต่บทเดียว โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านประการใด ดังนี้
เมื่อศาลฎีกาคงเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 270 ซึ่งเป็นบทหนักอยู่แล้ว แม้จะเห็นว่าจำเลยไม่ผิดตามม.301ด้วย ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีผิดฐานใดอีก เพราะลงโทษบทหนักอยู่แล้ว
อัยยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฏหมายอาญามาตรา 301-270 กับขอให้จำเลยคืนหรือใช้ทรัพย์ ถ้าศาลพิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 301 แล้ว อัยยการก็ไม่มีอำนาจเรียกเงินคืนแทนผู้เสียหาย.
ย่อยาว
จำเลยกับพวกมีปืนเป็นสาตราวุธไปจับตัวนายอุทาไปควบคุมตัวไว้ แล้วบังคับเอาเงินจากนายหน่อพ่อตา และนางป้อภรรยานายอุทา เพื่อสินไถ่ มิฉะนั้นจะฆ่านานอุทาเสีย นายหน่อ นางป้อ นำกระบือ ๑ ตัวราคา ๒๐๐ บาท กับเงินอีก ๑๐๐ บาทไปให้จำเลย ๆ จึงปล่อยนายอุทากลับบ้าน แล้วจำเลยกับพวกได้เรียกนายมี นายไจ๋ นายอุด นายกุย นายตา นางเฟย มาหา กล่าวหาว่าลักควายเขากิน ถ้าไม่เอาเงินมาให้จะฆ่าเสีย คนทั้งหกเกรงกลัวจึงหาเงินมาให้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามกฏหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๖๘ – ๒๗๐ – ๒๙๘ – ๒๙๙ – ๓๐๑ กับขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัยพ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามกฏหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๗๐ – ๓๐๑. ให้รวมกะทงลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๗๐ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุก ๑๕ ปี ลดตามมาตรา ๒๗๒ เสีย ๑ ใน ๓ คงจำคุก ๑๐ ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๑๐๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่จับตัวนายอุทาไปเป็นเรื่องบังคับเรียกเอาค่าสินไถ่โดยตรง และการที่จำเลยเรียกผู้เสียหายอีก ๖ คนไปขู่บังคับให้หาเงินมาให้ก็ไม่มีกริยาเป็นโจรชิงทรัพย์ตามความหมายของกฏหมาย จำเลยจึงยังไม่ผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่จะมีความผิดฐานใดนั้นไม่เป็นปัญหาในชั้นฎีกา เพราะคดีศาลล่างพิพากษาต้องกันมาให้ลงโทษจำเลยในฐานบทหนักบทเดียวเท่านั้น ซึ่งโจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมา จึงวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ อัยยการไม่มีอำนาจเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนให้แก่ผู้เสียหายตามป.วิ.อาญามาตรา ๔๓ แต่ในการที่จำเลยกับนายอุทาไปหน่วงเหนี่ยวกักขังและเรียกเอาสินไถ่แล้วจึงปล่อยตัวไปนั้น เป็นความผิดตามกฏหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๗๐ จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา๓๐๑ส่วนอัยยการไม่มีอำนาจเรียกเงินคืนแทนผู้เสียหายนอกจากนี้คงยืน.