คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าเสียหายฐานทำละเมิดปิดทางภารจำยอมติดต่อกันตลอดมาคงขาดอายุความเฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งปีก่อนฟ้อง
เมื่อจำเลยจงใจทำผิดกฎหมายโดยแกล้งปิดทาง เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายย่อมเป็นผู้ทำละเมิด และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แม้โจทก์นำสืบถึงค่าเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนไม่ได้ ศาลก็อาจกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
โจทก์ใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินจำเลยสำหรับล้อเกวียนบรรทุกข้าวเข้าออกระหว่างโรงสีโจทก์ (ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโจทก์)กับทางสาธารณประโยชน์ตลอดมากว่า 10 ปี ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมโดยทางอายุความ แม้เพื่อประโยชน์การค้าก็ไม่มีกฎหมายจำกัด ว่าจะเป็นภารจำยอมไม่ได้
คำร้องของโจทก์ที่ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นไม่ใช่คำฟ้อง แต่เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้หมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความแล้ว บุคคลภายนอกก็ย่อมเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) แม้มิได้เป็นคู่ความตามคำฟ้องมาแต่แรก ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมนั้นเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม แต่มีทางพิพาทไปออกทางสาธารณะมาตั้งแต่ครั้งเจ้าของเดิม เมื่อ ๑๐ ปีเศษมานี้โจทก์ตั้งโรงสีข้าวในที่ดินของโจทก์ โจทก์กับชาวนาและลูกค้าได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางขนข้าวระหว่างโรงสีกับทางสาธารณะ โดยใช้พาหนะเกวียนล้อ และใช้เป็นที่พักเกวียน ไม่มีผู้ใดหวงแหนขัดขวางทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอมและทางจำเป็น เมื่อกลางเดือนธันวาคม๒๕๐๔ นายเปรื่องกับจำเลยได้ใช้เรียวหนามไผ่ล้อมปิดกั้นทางพิพาทเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๕ นายเปรื่องกับจำเลยและบริวารได้ล้อมรั้วปิดกั้นทางพิพาทเสียหมดสิ้น ต่อมายังได้ช่วยกันเสริมให้แน่นหนาขึ้นอีก ทำให้โจทก์และประชาชนใช้ทางพิพาทไม่ได้ โจทก์ขาดประโยชน์จากการรับจ้างสีข้าว คิดเป็นค่าเสียหายวันละ ๒๐๐ บาทขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมและจำเป็น ให้จำเลยรื้อรั้วใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะหลายทาง โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นครั้งคราวในฐานะอาศัยและถือวิสาสะ นายเปรื่อง จำเลยและบริวารไม่เคยปิดทางพิพาท แต่นายเปรื่องทำรั้วปิดทางเดินป้องกันต้นผลอาสิน และทำทางใหม่ให้แทนที่โจทก์ขาดประโยชน์ไม่ได้รับจ้างสีข้าว เนื่องจากโจทก์และบุตรถูกขังในคดีที่ต้องหาว่าฆ่านายเปรื่องตาย กับตัดฟ้องว่า จำเลยไม่ได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเปรื่อง ไม่ได้เป็นผู้รับมรดก ไม่ได้เป็นเจ้าของที่พิพาทโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีขาดอายุความ โจทก์อ้างทางพิพาทเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์การค้าไม่ได้ และเรียกร้องให้ขยายภารจำยอมเพิ่มไม่ได้
โจทก์ร้องขอให้เรียกนายจำนงค์ จันทะเอ บุตรนายเปรื่องผู้รับมรดกที่ดิน เป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยร่วมให้การทำนองเดียวกับจำเลย และต่อสู้ว่า ภารจำยอมที่โจทก์อ้างยังมิได้จดทะเบียน ใช้บังคับนายเปรื่องและจำเลยผู้ได้กรรมสิทธิ์ทางทะเบียนและเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตไม่ได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยและจำเลยร่วมในฐานะผู้รับมรดก ขาดอายุความ จำเลยมิได้ยกอายุความละเมิดขึ้นสู้ ทางพิพาทเป็นภารจำยอมกว้าง ๒ วา ๒ ศอก โจทก์ได้สิทธิมาก่อนนายเปรื่องกับจำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน ภารจำยอมย่อมติดที่ดินโดยไม่ต้องจดทะเบียน แม้นายเปรื่องกับจำเลยจะซื้อที่ดินโดยสุจริตโจทก์ก็ใช้ภารจำยอมยันได้ พิพากษาให้จำเลยร่วม ผู้รับมรดกนายเปรื่องเปิดทางพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๗,๐๐๐ บาท และนับแต่วันฟ้องเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เป็นส่วนตัว กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความ
โจทก์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑๒,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย และใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑,๒๐๐ บาทนับแต่วันฟ้อง กับให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ
โจทก์จำเลยทั้งสองฎีกา
จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยได้ยกอายุความมรดกและอายุความละเมิดขึ้นสู้ไว้แล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดทั้งในฐานะส่วนตัวและผู้รับมรดก
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลล่างให้จำเลยรับผิดเป็นส่วนตัวฐานผู้ร่วมทำละเมิด ปัญหาเรื่องคดีขาดอายุความมรดกหรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความละเมิด ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ร่วมกับนายเปรื่องปิดทางพิพาทตลอดมาจนศาลพิพากษาให้เปิด ดังนี้ แม้ตามคำให้การจำเลยจะถือว่า จำเลยได้ยกอายุความละเมิดขึ้นเป็นข้อต่อสู้ด้วยดังจำเลยฎีกา คดีโจทก์ก็ขาดอายุความเฉพาะค่าเสียหายส่วนที่เกินหนึ่งปีก่อนฟ้อง ซึ่งมีเพียง ๒๑ วัน นอกนั้นหาขาดอายุความด้วยไม่ เพราะการละเมิดนั้นยังคงมีอยู่และเป็นการละเมิดติดต่อกันตลอดมา ศาลฎีกาไม่เห็นควรเปลี่ยนแปลงค่าเสียหายที่โจทก์จะได้รับจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้ยกอายุความละเมิดขึ้นต่อสู้หรือไม่
ฎีกาของจำเลยข้อ ๒ ที่ว่า นางพันธ์จำเลยมิได้เป็นภริยานายเปรื่อง และมิได้ร่วมทำละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดนั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลล่างพิพากษาให้นางพันธ์จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายเป็นส่วนตัว ในฐานได้ร่วมทำละเมิด โจทก์มิได้ฎีกาให้จำเลยรับผิดในฐานะภริยาผู้รับมรดกนายเปรื่อง ดังนั้น นางพันธ์จำเลยจะเป็นภริยานายเปรื่องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัยแล้วศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางพันธ์จำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกับนายเปรื่องปิดทางพิพาทด้วย จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดต่อโจทก์
ฎีกาของจำเลยข้อ ๓ ที่ว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์การค้าของโจทก์ สภาพที่ดินจึงไม่ใช่ลักษณะของภารจำยอมนั้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้สร้างโรงสีรับจ้างสีข้าวและใช้ทางพิพาทสำหรับล้อเกวียนบรรทุกข้าวเข้าออกระหว่างโรงสีโจทก์กับทางสาธารณประโยชน์ตลอดมากว่า ๑๐ ปี ทางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ ศาลฎีกาเห็นว่าอสังหาริมทรัพย์อันอาจต้องตกอยู่ในภารจำยอมก็เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ตามแต่สิทธิที่จะได้มา ซึ่งอาจโดยการจดทะเบียนหรือโดยทางอายุความ ไม่มีข้อจำกัดว่า ถ้าเพื่อประโยชน์การค้าแล้วจะเป็นภารจำยอมไม่ได้ คดีนี้แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์การค้า ก็ใช้มานาน จนได้สิทธิทางอายุความแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่โจทก์ฎีกาขอให้เปิดทางพิพาทกว้าง ๕ วา และ ๒ วา ๒ ศอกตามฟ้องนั้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ทางพิพาทด้านติดที่ดินโจทก์กว้าง๕ วา และเรียวเล็กไปจนจดทางสาธารณะกว้าง ๒ วา ๒ ศอก ศาลล่างพิพากษาให้เปิดทางกว้าง ๒ วา ๒ ศอก ตลอดแนว เป็นการทำให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมเสื่อมไป ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๐
ฎีกาของจำเลยข้อ ๔ ที่ว่า โจทก์นำสืบถึงความเสียหายไม่ได้จึงไม่ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายนั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อนางพันธ์จำเลยจงใจทำผิดกฎหมายโดยแกล้งปิดทางพิพาท เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ย่อมเป็นผู้ละเมิด และต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๒๐ แม้โจทก์จะนำสืบถึงค่าเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนไม่ได้ศาลก็อาจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร
ข้อที่โจทก์ฎีกาขอค่าเสียหายเต็มตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้เป็นการสมควรแล้ว
ฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายที่ว่า ตามคำฟ้องมิได้มีคำขอบังคับถึงจำเลยร่วม ส่วนคำขอบังคับในคำร้องขอให้เป็นจำเลยร่วม ก็ใช้บังคับแก่จำเลยร่วมไม่ได้ เพราะไม่ใช่คำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงถือว่าโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยร่วม จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์นั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า จริงอยู่ ตามคำฟ้องมิได้มีคำขอบังคับถึงจำเลยร่วม เพราะจำเลยร่วมไม่ได้ถูกฟ้องด้วย จำเลยจึงยังไม่ได้เป็นคู่ความ และที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายจำนงค์มาเป็นจำเลยร่วมคำร้องนี้ก็มิใช่คำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑(๓) เพราะเป็นแต่คำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยด้วยเท่านั้น ยังไม่มีผู้ใดเสนอข้อหาต่อศาลโดยสอดเข้ามาในคดีแต่ครั้นเมื่อศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้หมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความแล้ว บุคคลภายนอกก็ย่อมเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๓) คดีนี้โจทก์ขอให้เรียกนายจำนงค์เข้ามาในคดีในฐานะเป็นจำเลยร่วม และศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอของโจทก์แล้ว นายจำนงค์จำเลยร่วมก็เป็นคู่ความในฐานะเป็นจำเลยตามคำฟ้องของโจทก์ และในที่สุดต้องแพ้คดีโจทก์ ศาลก็มีอำนาจที่จะพิพากษาให้จำเลยร่วมต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑
พิพากษาแก้ให้จำเลยร่วมเปิดทางพิพาทกว้างตามคำฟ้องของโจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share