คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4136/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ที่ดินที่เกิดเหตุเป็นของผู้เสียหาย จำเลยมีสิทธิเพียงครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน จำเลยชอบจะใช้ประโยชน์ในที่ดินตามปกติ การที่จำเลยอนุญาตให้ผู้อื่นขุดเอาดินไปโดยได้รับเงินค่าตอบแทน แล้วอ้างว่าจะทำสระเก็บน้ำในที่ดินที่เกิดเหตุเมื่อมีการขุดดินในที่ดินที่เกิดเหตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 20 เมตร ยาว 50 เมตร ลึก 7 เมตร คิดเป็นปริมาตรดินประมาณ 21,000 ลูกบาศก์เมตร นั้น เป็นการขุดดินที่มีความลึกและกว้างอย่างมาก จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าจะต้องมีการใช้เครื่องจักรเช่นรถแบ็กโฮตักดินในที่ดินที่เกิดเหตุจึงจะสามารถทำให้ที่เกิดเหตุเป็นหลุมขนาดใหญ่เช่นนั้นได้ เมื่อมีการใช้รถแบ็กโฮขุดเอาดินในที่ดินที่เกิดเหตุ จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาใช้รถแบ็กโฮเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวนแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์นั้นไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะซึ่งต้องรับโทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 336 ทวิ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาดิน 336,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาดิน 336,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา334 จำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ เฉพาะปัญหากฎหมายว่า จะลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ ซึ่งจะต้องรับโทษหนักขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ได้หรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินที่เกิดเหตุของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมป่าไม้ ผู้เสียหาย 1 แปลง ตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แปลงเลขที่ 23 กลุ่มที่ 2477 ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ต่อมาในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีการขุดเอาดินที่เกิดเหตุไป เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายประจักษ์และนายวรรณะซึ่งเป็นคนขับรถแบ็กโฮตักดิน และคนขับรถบรรทุกสิบล้อขนดินในที่ดินที่เกิดเหตุ จึงยึดรถแบ็กโฮและรถบรรทุกสิบล้อเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี นายประจักษ์และนายวรรณะแจ้งว่า เป็นลูกจ้างของนายภูมิชาย นายภูมิชายแจ้งว่าจำเลยประสงค์จะทำสระน้ำในที่ดินที่เกิดเหตุจึงขุดเอาดินไปโดยให้ค่าตอบแทน 2,000 บาท เห็นว่า จำเลยให้ผู้อื่นขุดเอาดินในที่ดินที่เกิดเหตุของผู้เสียหายไป ซึ่งจำเลยมีสิทธิเพียงครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน จำเลยจึงชอบจะใช้ประโยชน์ในที่ดินตามปกติ การที่จำเลยอนุญาตให้ผู้อื่นขุดเอาดินไปโดยได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน แล้วอ้างว่าจะทำสระเก็บน้ำ ในที่ดินที่เกิดเหตุ เมื่อมีการขุดดินในที่ดินที่เกิดเหตุตามภาพถ่าย เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 20 เมตร ยาว 50 เมตร ลึก 7 เมตร คิดเป็นปริมาตรดินประมาณ 21,000 ลูกบาศก์เมตร เป็นเงิน 336,000 บาท นั้น เป็นการขุดดินที่มีความลึกและกว้างอย่างมาก จากพฤติการณ์ดังกล่าวข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าจะต้องมีการใช้เครื่องจักรเช่นรถแบ็กโฮตักดินในที่ดินที่เกิดเหตุจึงจะสามารถทำให้เกิดเหตุเป็นหลุมขนาดใหญ่เช่นนั้นได้ เมื่อมีการใช้รถแบ็กโฮขุดเอาดินในที่ดินที่เกิดเหตุจึงถือว่าจำเลยมีเจตนาใช้รถแบ็กโฮเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์นั้นไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะซึ่งต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share