คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2178/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในคดีหมายเลขแดงที่ 796/2547 ของศาลล้มละลายกลางปรากฏว่าบริษัท บ. เป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับบริษัท ล. เป็นหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 5810/2539 ของศาลแพ่งและจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ล้มละลายซึ่งศาลในคดีดังกล่าวได้พิจารณาพยานหลักฐานแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ในคดีดังกล่าวนำสืบไม่ได้ตามข้อสันนิษฐานตามที่กล่าวมาในฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีหรือไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ทั้งโจทก์ในคดีดังกล่าวไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีสินทรัพย์ไม่พอกับหนี้สินแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งจะต้องรับโอนมาซึ่งบรรดาสิทธิและหน้าที่ที่บริษัท บ. ผู้โอนมีต่อจำเลยทั้งสองด้วย ดังนั้น การที่โจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีก โดยอ้างว่าเมื่อได้ยึดทรัพย์จำนองของบริษัท ล. แล้วไม่พอชำระหนี้โจทก์ทั้งหมด และจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ก็เป็นเหตุดังที่เคยอ้าง และศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วในคดีก่อน จึงเป็นการนำมูลหนี้เดียวกันมาฟ้องร้องจำเลยทั้งสองซึ่งมีประเด็นแห่งคดีอย่างเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ และเหตุที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นก็เป็นมูลเหตุเช่นเดียวกันซึ่งศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลล้มละลายฯ มาตรา 14 ส่วนที่โจทก์ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 17729/2540 ของศาลแพ่งมาด้วยก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่าหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 1,000,000 บาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์นำมูลหนี้ส่วนนี้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีล้มละลายได้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 5810/2539 ของศาลแพ่ง มาจากบริษัทบริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด ซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาดังกล่าวมาจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้เดิมของจำเลยทั้งสองกับบริษัทหลักสี่สวนหลวง จำกัด ซึ่งในคดีนั้นศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองกับบริษัทดังกล่าวร่วมกันชำระเงินจำนวน 6,917,353.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของเงินต้น 6,139,115.29 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 ธันวาคม 2538) จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้เจ้าหนี้เดิม หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองและบริษัทดังกล่าวขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบถ้วน กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนเจ้าหนี้เดิม โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองและบริษัทดังกล่าวไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าหนี้เดิมดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ของบริษัทดังกล่าวที่จำนอง เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์ไว้เป็นเงิน 9,770,900 บาท คำนวณยอดหนี้ถึงวันฟ้องคดีนี้ (วันที่ 7 เมษายน 2549) จำเลยทั้งสองและบริษัทดังกล่าวค้างชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงิน 19,395,231.23 บาท เมื่อนำราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวหักออกแล้วจำเลยทั้งสองและบริษัทนั้นยังเป็นหนี้โจทก์อยู่อีก 9,624,311.23 บาท (ที่ถูก 6,624,331.23 บาท) นอกจากนี้โจทก์ยังได้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 17729/2540 ของศาลแพ่งมาจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้เดิมของจำเลยที่ 1 และบริษัทหลักสี่สวนหลวง จำกัด ซึ่งในคดีดังกล่าวศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 และบริษัทดังกล่าวชำระเงินแก่เจ้าหนี้เดิมเป็นเงิน 56,668.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของเงินต้น 51,834.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่คืนกับค่าทนายความอีก 6,500 บาท ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2540 แต่จำเลยที่ 1 และบริษัทดังกล่าวไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ประเมินราคาทรัพย์ที่ยึดต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสอง เนื่องจากโจทก์เคยนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลล้มละลายกลางเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 796/2547 ซึ่งศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2547 หนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งพ้นกำหนดระยะเวลาบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองอีกต่อไป ขอให้ยกฟ้อง แต่จำเลยทั้งสองไม่สืบพยาน
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “…ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ ข้อแรกมีว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 796/2547 ของศาลล้มละลายกลางหรือไม่ เห็นว่า ในเรื่องการฟ้องซ้ำนั้นพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 บัญญัติว่า “คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน…” ในคดีหมายเลขแดงที่ 796/2547 ของศาลล้มละลายกลางนั้น ปรากฏว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด เป็นโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองและบริษัทหลักสี่สวนหลวง จำกัด ล้มละลาย โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองและบริษัทดังกล่าวเป็นหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 5810/2539 ของศาลแพ่ง และจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งศาลในคดีดังกล่าวได้พิจารณาพยานหลักฐานแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ในคดีดังกล่าวนำสืบไม่ได้ตามข้อสันนิษฐานตามที่กล่าวมาในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี หรือไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ และโจทก์ในคดีดังกล่าวยังไม่ได้ยึดทรัพย์จำนองที่เป็นหลักประกันและทรัพย์สินอื่นที่เป็นที่ดินอีกที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ทั้งโจทก์ในคดีดังกล่าวก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีสินทรัพย์ไม่พอกับหนี้สินแต่อย่างใด จึงฟังไม่ด่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวซึ่งจะต้องรับโอนมาซึ่งบรรดาสิทธิและหน้าที่ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด ผู้โอนที่เป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวมีต่อจำเลยทั้งสองด้วย ดังนั้นการที่โจทก์นำมูลหนี้ตมคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีกโดยอ้างว่า เมื่อได้ยึดที่ดินทรัพย์จำนองของบริษัทหลักสี่สวนหลวง จำกัด แล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ไม่พอชำระหนี้โจทก์ทั้งหมดและจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ก็เป็นเหตุดังที่เคยอ้าง และศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วในคดีก่อน จึงเป็นการนำมูลหนี้เดียวกันมาฟ้องร้องจำเลยทั้งสองซึ่งมีประเด็นแห่งคดีอย่างเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่และเหตุที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นก็เป็นมูลเหตุเช่นเดียวกันซึ่งศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14 ส่วนที่โจทก์ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 17729/2540 ของศาลแพ่งด้วยก็ตามแต่ก็ปรากฏว่าหนี้ตามคำพิพากษาคดีดังกล่าวนี้มีเพียงเล็กน้อย ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้คำนวณยอดหนี้ส่วนนี้คิดถึงฟ้องมาด้วยว่ามีจำนวนเท่าใด อย่างไรก็ตามยอดหนี้ส่วนนี้หากคิดถึงวันฟ้องก็มีไม่เกิน 1,000,000 บาท โจทก์จึงไม่มีสิทธินำมูลหนี้ส่วนนี้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีล้มละลายได้ด้วย ดังนั้น ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษายกฟ้องนั้นจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share