คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4126/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาคดีนี้ ได้ความจากเอกสารของทางราชการที่มีเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้องซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ยื่นต่อศาลว่าคดีเดิมศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ร่วมคดีนี้ออกจากที่พิพาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจร้องทุกข์ว่าจำเลยที่ 1 ทำผิดฐานบุกรุก โจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 358, 362, 365
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายบรรจง พันทวีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) ประกอบด้วยมาตรา 86 จำคุก6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือนนอกจากแก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานบุกรุกหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ร่วมเช่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4437 ตำบลซอนสารเดช อำเภอโคงสำโรง จังหวัดลพบุรีบางส่วนจากนายเจียม เอี่ยมสะอาด เจ้าของที่ดินคนเดิม ต่อมานายเจียมขายที่ดินดังกล่าวแก่นายสิ่งห์ชัย คำพู และนางมาลินี คำพู โจทก์ร่วมจึงร้องคัดค้านว่านายเจียมมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นายเจียมจึงซื้อที่ดินดังกล่าวคืนมา หลังจากนั้นนายเจียมเสนอขายที่ดินดังกล่าวแก่สำนักงานปฏิรูปที่ดิน ระหว่างสำนักงานปฏิรูปที่ดินพิจารณาข้อเสนอของนายเจียมนั้น นายเจียมได้ขายที่ดินดังกล่าวแก่นายจร พันทวี นายจรจึงฟ้องขับไล่โจทก์ร่วมออกจากที่ดินดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของนายจรตามเอกสารหมาย จ.3 นายจรอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นยกเอาพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 อันเป็นกฎหมายพิเศษขึ้นเป็นข้อวินิจฉัยโดยโจทก์ร่วม (จำเลยในคดีดังกล่าว) มิได้ยกเป็นข้อต่อสู้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ในการยื่นฎีกาของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ จำเลยที่ 1 อ้างส่งเอกสารของทางราชการที่มีเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้องแล้ว จึงรับฟังประกอบคดีนี้ได้ ปรากฎข้อเท็จจริงต่อเนื่องจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีตามที่นายจรอุทธรณ์ว่าโจทก์ร่วม (จำเลยในคดีดังกล่าว) ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ปรากฎตามคำพิพากษาฎีกาที่ 5292/2537 มีผลให้ศาลชั้นต้นต้องพิพากษาใหม่ตามรูปคดีซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นได้พิพากษาใหม่แล้วตามคดีหมายเลขแดงที่ 227/2533 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2538 โดยวินิจฉัยว่า นายจรมีสิทธิบอกกล่าวให้โจทก์ร่วม (จำเลยในคดีดังกล่าว) ออกจากที่พิพาทได้และมีการบอกกล่าวโดยปริยายเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2532 แล้ว แต่โจทก์ร่วมไม่ยอมออก เป็นการอยู่ในที่พิพาทโดยละเมิด จึงพิพากษาให้โจทก์ร่วม (จำเลยที่ในคดีดังกล่าว)ออกไปจากที่พิพาทพร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกระท่อมและคอกวัวโดยห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่พิพาทต่อไป และคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามใบสำคัญแสดงว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ถึงที่สุดแล้วลงวันที่ 30 ตุลาคม 2538 ซึ่งมีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นลงลายมือชื่อรับรอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทต่อไปนับแต่วันที่ 28 เมษายน 2532 แล้วโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจร้องทุกข์ว่าจำเลยที่ 1กระทำผิดฐานบุกรุกเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2536 อันเป็นระยะเวลาภายหลังจากโจทก์ร่วมหมดอำนาจครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทแล้วและโจทก์รวมทั้งโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share