แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยปล้นทรัพย์และยิงปืนทางท้ายขบวนเกวียนหลังจากบอกให้พวกผู้เสียหายขับเกวียนไปได้ นั้น เป็นการยิงปืนเพื่อขู่ขวัญมิให้พวกเจ้าทรัพย์ติดตามต่อสู้เห็นได้ว่าเหตุการณ์ยังคงต่อเนื่องกับการปล้นอยู่จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2504)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามคนนี้ได้บังอาจร่วมกันเป็นคนร้ายทำการปล้นทรัพย์และได้ใช้ปืนและมีดเป็นอาวุธ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทุกคนทำการปล้นทรัพย์จริง พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 และมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 12 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 340 วรรค 4
ศาลฎีกาเห็นว่า เกิดเหตุเรื่องนี้ระหว่างทางเดินในป่า การที่จำเลยปล้นทรัพย์และยิงปืนทางท้ายขบวนเกวียนหลังจากบอกให้พวกผู้เสียหายขับเกวียนไปได้ นั้น เป็นการยิงเพื่อประโยชน์ในการปล้นเพราะแม้จำเลยจะปล้นได้ทรัพย์ของผู้เสียหายไปแล้วก็ตาม แต่ส่อให้เห็นได้ว่า ที่จำเลยยิงปืนนั้นเพื่อขู่ขวัญมิให้พวกผู้เสียหายติดตามต่อสู้พวกจำเลยจะได้หลบหนีพาทรัพย์นั้นไปได้โดยสะดวกและให้พ้นจากการจับกุม เพราะพวกขบวนเกวียนก็มีคนมาก โดยมีเกวียนถึง 17 เล่ม และพฤติการณ์ตามที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายก็เห็นได้ชัดว่าได้มีการใช้ปืนขู่เข็ญผู้เสียหายมาแต่เริ่มลงมือปล้นแล้ว จึงไม่น่าสงสัยว่าที่จำเลยยิงปืนขึ้น 2 นัดเพื่อเหตุอื่นใด นอกจากต้องการให้พวกผู้เสียหายมีความกลัวไม่กล้าติดตามพวกจำเลยนั่นเองเห็นได้ว่าเหตุการณ์ยังไม่ขาดตอน ยังคงต่อเนื่องในการปล้นรายนี้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 และมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 20 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์