คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4117/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในขณะที่มีคนร้ายลอบเข้าไปวางเพลิงสำนักงานป่าไม้จังหวัดทำให้ทรัพย์สินเสียหายไม่มีผู้อยู่เวรและตรวจเวร แต่ในระหว่างเกิดเหตุมีคำสั่งตั้งเวรยามกำหนดเจ้าหน้าที่เวรยามไว้โดยแน่ชัดสามารถปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวได้อยู่แล้ว โดยมีผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจเวรยามจำเลยซึ่งเป็นป่าไม้จังหวัดหาจำต้องออกคำสั่งตั้งเวรยามซ้ำอีกไม่ การที่จำเลยมิได้ออกคำสั่งตั้งเวรยามใหม่จึงไม่เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อดังที่โจทก์ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของอาคารซึ่งใช้เป็นที่ทำการสำนักงานป่าไม้จังหวัดชัยนาท จำเลยรับราชการในตำแหน่งป่าไม้จังหวัดชัยนาท จำเลยโดยความประมาทเลินเล่อ งดเว้นไม่ออกคำสั่งกำหนดให้พนักงานป่าไม้จังหวัดชัยนาทปฏิบัติหน้าที่อยู่เวร ตรวจเวรรักษาความปลอดภัยแก่สำนักงานป่าไม้จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นการงดเว้นไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ต่อมามีคนร้ายลอบเข้าวางเพลิงสำนักงานป่าไม้จังหวัดชัยนาท ซึ่งขณะนั้นไม่มีผู้อยู่เวรและตรวจเวร เพลิงได้ลุกไหม้เผาตัวอาคารและทรัพย์สินต่าง ๆ ของโจทก์รวม ๑๕ รายการ ค่าเสียหายเป็นเงิน ๔๒,๗๐๕ บาท ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ทรัพย์สินถูกเพลิงไหม้เสียหายจนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน ๕๔,๑๘๑.๙๖ บาทขอให้จำเลยชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงิน๔๒,๗๐๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า อาคารที่ถูกคนร้ายลอบวางเพลิงไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ แต่โจทก์เช่าจากวัดวิชัยวัฒนาราม เมื่อถูกเพลิงไหม้เสียหายสัญญาเช่าระงับไป โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้ ความเสียหายของโจทก์เกิดจากคนร้ายที่ลอบวางเพลิง ไม่ใช่เกิดจากการที่จำเลยไม่ออกคำสั่งตั้งผู้อยู่เวร ตรวจเวร ดูแลความปลอดภัยอันเกิดจากอัคคีภัยตามมติคณะรัฐมนตรีนั้น เพราะคำสั่งเดิมมีอยู่สมัยนายชนะ บัววิรัตน์ ป่าไม้จังหวัดคนก่อนยังมีผลใช้อยู่ไม่ได้ถูกยกเลิก จึงไม่มีเหตุอย่างใดที่จำเลยจะต้องออกคำสั่งซ้ำอีก ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน ๒๑,๙๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๒๑ จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ได้มีมติคณะรัฐมนตรีให้กระทรวงทบวงกรมและส่วนราชการต่าง ๆ รวมทั้งภาคจังหวัด อำเภอ สำนักงานเทศบาลทุกแห่ง ตลอดจนองค์การของรัฐบาล จัดให้มีเวรรักษาราชการตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน และให้ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ชั้นหัวหน้าแผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไปผลัดเปลี่ยนกันคอยสอดส่องตรวจตราเพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้เวรได้อยู่ประจำ ถ้าปรากฏว่าเวรละทิ้งหน้าที่ให้ถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรง และให้พิจารณาลงโทษอย่างน้อยให้ออกจากราชการ ถ้าปรากฏว่าเกิดความเสียหายเพราะอัคคีภัยขึ้น นอกจากจะดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ให้พิจารณาลงโทษทางวินัยด้วย จำเลยดำรงตำแหน่งป่าไม้จังหวัดชัยนาทในขณะเกิดเหตุเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๒๑ มีคนร้ายลอบวางเพลิงอาคารสำนักงานป่าไม้จังหวัดชัยนาทซึ่งเป็นอาคารที่โจทก์เช่าจากวัดศรีวิชัยวัฒนารามเป็นเหตุให้อาคารดังกล่าวตลอดจนทรัพย์สินของโจทก์ที่เก็บไว้ในอาคารดังกล่าวเสียหาย แล้ววินิจฉัยต่อไปว่าที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยมิได้ออกคำสั่งตั้งเวรยามตามหน้าที่ เป็นการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เพลิงไหม้อาคารสำนักงานป่าไม้จังหวัดชัยนาททำให้ทรัพย์สินเสียหายนั้น เห็นว่า… พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในระหว่างเกิดเหตุมีคำสั่งตั้งเวรยามกำหนดเจ้าหน้าที่เวรยามไว้โดยแน่ชัดสามารถปฏิบัติตามคำสังดังกล่าวได้อยู่แล้ว โดยมีนายสุรีย์ สุภัทรประทีปผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจเวรยามตามที่จำเลยนำสืบ จำเลยหาจำต้องออกคำสั่งตั้งเวรยามซ้ำอีกไม่ เหตุนี้การที่จำเลยมิได้ออกคำสั่งใหม่ในเรื่องนี้จึงไม่เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อดังที่โจทก์ฟ้อง จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาของจำเลยในประเด็นข้ออื่นและฎีกาของโจทก์ซึ่งโต้เถียงในเรื่องค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับจึงไม่จำต้องวินิจฉัย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share