คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4117/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อมาจากผู้ร้องไปใช้กระทำความผิดโดยผู้ร้องรู้และมิได้บอกเลิกสัญญาแต่กลับรับชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีก พฤติการณ์ของ ผู้ร้องจึงเป็นเพียงประสงค์จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้น และการที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ก็เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่จะได้รับรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้องในภายหลังอันถือได้ว่าเป็นการร่วมรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507 กับให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางคันหมายเลขทะเบียนลำพูน บ-2073
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องซึ่งให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อโดยมีนายศักดา จันทรมานนท์เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วนและสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง และได้ให้จำเลยที่ 1เช่าซื้อไปเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2528 ในราคา 94,512 บาทมีนายศักดา จันทรมานนท์ เป็นผู้ค้ำประกันตามเอกสารหมาย ร.5,ร.6 จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแก่ผู้ร้อง 16 งวด แล้วผิดนัดมาตลอด เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2529 ก่อนผิดนัด จำเลยที่ 1กับพวกได้ร่วมกันกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ โดยใช้รถยนต์ของกลางในการกระทำความผิด มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้ร้องรู้เห็นว่าเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 หรือไม่ผู้ร้องมีนายอติชาติ จันทรินทุ พนักงานสินเชื่อและการตลาดของผู้ร้องมาเป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้อง และตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือนเดือนละ 3,938 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2528จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแก่ผู้ร้องรวม 16 งวด เป็นเงิน63,008 บาท คงค้างชำระอีก 8 งวด เป็นเงิน 31,504 บาทโดยผิดนัดตั้งแต่ งวด วันที่ 20 มีนาคม 2530 เป็นต้นมา ผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2530 ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.8 ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำของนายอติชาติ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแก่ผู้ร้องจนถึงงวดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2530 นายอติชาติเบิกความต่อไปว่าผู้ร้องเพิ่งทราบว่ารถยนต์ของกลางถูกยึดไปเมื่อจำเลยที่ 1ขาดส่งค่าเช่าซื้องวดเดือนมีนาคม 2530 และพนักงานของผู้ร้องตามไปเก็บค่าเช่าซื้อจึงได้ทราบ แต่ปรากฏว่าผู้ร้องมีหนังสือแจ้งแก่สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่แจ่มเกี่ยวกับกรณีที่มีผู้นำรถยนต์ของกลางไปกระทำผิดกฎหมายว่ารถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องและผู้ร้องมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2529ตามเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์อ้างถึงและผู้ร้องรับว่าเป็นเอกสารของผู้ร้องตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่24 กันยายน 2530 นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2529นายธนะ จันทร์เฉลี่ย ผู้จัดการฝ่ายควบคุมสินเชื่อของผู้ร้องก็ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในกรณีที่มีผู้นำรถยนต์ของกลางไปใช้โดยผิดกฎหมายว่าผู้ร้องทราบเรื่องตั้งแต่เดือนตุลาคม 2529 ปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของนายธนะ เอกสารหมาย จ.1 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าผู้ร้องทราบว่าจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของกลางไปใช้โดยผิดกฎหมายตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2529 แล้ว ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.5 ข้อ 4, 10 สัญญาเช่าซื้อย่อมถือว่าเลิกกันทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าว แต่ผู้ร้องก็มิได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1คงรับชำระค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 ต่อมาอีก 5 งวด ดังนี้ฎีกาของผู้ร้องที่ว่า ผู้ร้องรับเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1หลังจากจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำผิดและถูกยึดไปแล้วโดยผู้ร้องไม่ทราบเรื่องดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้นพฤติการณ์แห่งคดีแสดงว่าผู้ร้องประสงค์จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้นจำเลยที่ 1 จะนำรถยนต์ของกลางไปใช้อย่างไรก็ได้การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางจึงเห็นได้ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 1 ที่จะได้รับรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้องในภายหลัง ซึ่งมีลักษณะเป็นการร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และเป็นการไม่สุจริตผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง”
พิพากษายืน

Share