คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4105/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) มุ่งหมายถึงการกระทำที่ก่อให้เกิดความผิดอันหนึ่ง ๆ ในคราวเดียวกัน หาได้หมายถึงฐานความผิดที่ขอให้ลงโทษไม่ เฮโรอีนจำนวนที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีนี้กับเฮโรอีน ที่จำเลยที่ 2 มีไว้ในครอบครองตามคดีอาญาเรื่องก่อน เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ในคราวเดียวกัน เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ทั้งโจทก์บรรยาย ฟ้องคดีนี้ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันผลิตเฮโรอีน โดยแบ่งเฮโรอีนจากหลอดพลาสติกขนาดใหญ่จำนวน 3 หลอด บรรจุในหลอดกาแฟที่ตัดเป็นท่อนสั้น ๆ จำนวน 5 หลอด และที่โจทก์ บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายก็เป็นเฮโรอีนจำนวนเดียวกับที่ฟ้องว่าจำเลยผลิตดังนี้ เมื่อเฮโรอีนที่จำเลยทั้งสามร่วมกันผลิตกับเฮโรอีนที่ จำเลยทั้งสามมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกันการกระทำของจำเลยทั้งสามย่อมเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาเป็นความผิดฐานผลิตเฮโรอีนเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งไม่เมื่อการกระทำของ จำเลยที่ 2 ในคดีนี้กับการกระทำของจำเลยที่ 2 ในคดีก่อนเป็นการกระทำกรรมเดียวในวาระเดียวกันและศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ไปแล้ว ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องที่ศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิด ที่ได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้วินิจฉัยสั่งในเรื่องของกลางย่อมเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไข เฮโรอีนของกลางเป็นทรัพย์สินที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดส่วนของกลางอื่นก็เป็นเครื่องมือที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานผลิตเฮโรอีนจึงเป็นทรัพย์ที่พึงริบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32,33(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 102 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1 เสียจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง65 วรรคสอง ให้ประหารชีวิต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตลอดชีวิตข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ของกลางริบ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3 เสียจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 บวชเป็นพระภิกษุและจำพรรษาอยู่ที่วัดทินกรนิมิตตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง ร้อยตำรวจโทสมโภชน์ จูเจริญ กับพวก ได้ร่วมกันตรวจค้นกุฏิซึ่งจำเลยที่ 1 จำพรรษาอยู่จากการตรวจค้นภายในห้องของจำเลยที่ 1 พบเฮโรอีนบรรจุหลอดพลาสติกเบอร์ 5 จำนวน 3 หลอด เฮโรอีนบรรจุในหลอดกาแฟยาว 2 เซนติเมตร จำนวน 5 หลอด หลอดกาแฟเปล่าตัดเป็นท่อนยาว 2 เซนติเมตร จำนวน 11 หลอด เทียนไข 1 เล่ม เข็มฉีดยา 4 อัน และกรรไกร 1 เล่ม ขณะตรวจค้นจำเลยทั้งสามอยู่ในห้องที่เกิดเหตุ ได้ค้นตัวจำเลยที่ 2 และที่ 3 พบเฮโรอีนบรรจุหลอดกาแฟตัดสั้นยาว 2 เซนติเมตรอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 2 หลอดจึงยึดไว้เป็นของกลาง เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสามว่า ร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายส่วนเฮโรอีนที่พบในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 2 หลอดนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่ามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองและแยกดำเนินคดีเป็นอีกคดีหนึ่งและพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในข้อหาดังกล่าวต่อศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1735/2538และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 63/2539 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับสำหรับคดีนี้ต่อมาพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มแก่จำเลยทั้งสามว่าร่วมกันผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายและโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้
มีปัญหาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดฐานผลิตเฮโรอีนหรือไม่ และสิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ระงับไปหรือไม่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันผลิตเฮโรอีนโดยแบ่งเฮโรอีนจากหลอดพลาสติกขนาดใหญ่จำนวน 3 หลอด บรรจุในหลอดกาแฟที่ตัดเป็นท่อนสั้น ๆ จำนวน 5 หลอด และที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็เป็นเฮโรอีนจำนวนเกี่ยวกับที่ฟ้องว่าจำเลยผลิต ดังนี้ จึงเป็นที่เห็นได้ว่าเฮโรอีนที่จำเลยทั้งสามร่วมกันผลิตกับเฮโรอีนที่จำเลยทั้งสามมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกันการกระทำของจำเลยทั้งสาม ย่อมเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาใช่เป็นความผิดฐานผลิตเฮโรอีนเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งดังที่โจทก์ฎีกาไม่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้กับการกระทำของจำเลยที่ 2ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1735/2538 ของศาลชั้นต้น เป็นการกระทำกรรมเดียวในวาระเดียวกันและศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ไปแล้วฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องที่ศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้วสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงระงับไปตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น เฮโรอีนของกลางเป็นทรัพย์สินที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดส่วนของกลางอื่นเชื่อว่าเป็นเครื่องมือที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานผลิตเฮโรอีนจึงเป็นทรัพย์ที่พึงริบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33(1)
พิพากษายืน แต่ให้ริบของกลาง

Share