คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4101/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยฝากเงินไว้กับธนาคารผู้ร้อง เงินที่ฝากจึงตกเป็นของผู้ร้อง การที่จำเลยทำสัญญาจำนำและมอบสมุดคู่ฝากเงินประจำไว้แก่ผู้ร้องก็เพียงเพื่อประกันหนี้ที่ลูกหนี้มีต่อผู้ร้อง แม้จำเลยจะตกลงยินยอมให้ผู้ร้องนำเงินจากบัญชีดังกล่าวมาชำระหนี้ของจำเลยที่มีต่อผู้ร้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวก็เป็นเรื่องความตกลงในการฝากเงินเพื่อเป็นประกันนั้นเอง ไม่ทำให้ตัวเงินตามจำนวนในบัญชีเงินฝากยังคงเป็นของจำเลยอันผู้ร้องได้ยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ จึงไม่เป็นการจำนำเงินฝากและการที่จำเลยมอบสมุดคู่ฝากเงินประจำให้ผู้ร้องยึดถือไว้ ก็มิใช่เป็นการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 750 อีกเช่นกันผู้ร้องจึงไม่เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนำ ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยให้ใช้เงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ 2,907,047 บาท พร้อมดอกเบี้ย แล้วได้มีการประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2536 ให้จำเลยผ่อนชำระหนี้จำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยจำเลยไม่ชำระให้ตามสัญญา โจทก์ขอหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของจำเลยมาชำระหนี้ และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินฝากประจำที่จำเลยได้ทำสัญญาจำนำสิทธิตามตราสารการฝากเงินไว้แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยทำสัญญาจำนำสิทธิตามตราสารการฝากเงินตามบัญชีที่เปิดไว้กับผู้ร้อง สาขาสันป่าข่อยพร้อมดอกเบี้ยเป็นประกันเงินกู้ของลูกหนี้ที่มีต่อผู้ร้องรวม 31 รายตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 4 ถึง 96 ซึ่งลูกหนี้แต่ละรายและจำเลยผิดสัญญาไม่ผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลง ผู้ร้องมีสิทธิหักเงินฝากจากบัญชีเงินฝากประจำทั้งหมดของจำเลยชำระหนี้แก่ผู้ร้องซึ่งรวมเป็นเงินพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด 1,174,513.76 บาท ขอให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนำจำนวน 1,174,513.76 บาทก่อนโจทก์และเจ้าหนี้รายอื่น ๆ หากโจทก์สละสิทธิในการบังคับคดีหรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดี ผู้ร้องขอสวมสิทธิในการบังคับคดีแทน
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทำสัญญาจำนำสิทธิตามตราสารการฝากเงินตามเอกสารท้ายคำร้องขอ แต่ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนำ ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนำจำนวนเงิน 1,174,513.76 บาท ก่อนโจทก์และเจ้าหนี้รายอื่น ๆหากโจทก์สละสิทธิในการบังคับคดีหรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีให้ผู้ร้องสวมสิทธิในการบังคับคดีแทน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกคำร้องขอ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ผู้ร้องและโจทก์ไม่สืบพยานคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า ลูกหนี้ 31 ราย ทำสัญญากู้เงินผู้ร้อง โดยมีจำเลยทำสัญญาค้ำประกันและทำสัญญาจำนำสิทธิตามตราสารการฝากเงินไว้แก่ผู้ร้อง ตามเอกสารหมาย ร.1 ถึง ร.93มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสรุปได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนำมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์หรือไม่โดยผู้ร้องฎีกาว่า การที่จำเลยนำเงินมาฝากประจำไว้แก่ผู้ร้องผู้ร้องออกหลักฐานให้แก่จำเลยเป็นสมุดคู่ฝากเงินประจำให้จำเลยยึดถือไว้กรรมสิทธิ์เงินฝากยังเป็นของจำเลยอยู่ การที่จำเลยทำสัญญาจำนำและมอบสมุดคู่ฝากเงินประจำให้แก่ผู้ร้องไว้เป็นประกันการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่มีต่อผู้ร้อง เป็นการจำนำเงินฝากประจำหรือจำนำสิทธิซึ่งมีตราสาร ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนำในตราสารเงินฝากของจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยฝากเงินไว้กับผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 672 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝากผู้รับฝากมีสิทธิเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ ฉะนั้นเงินที่ฝากจึงตกเป็นของผู้ร้องผู้ร้องคงมีแต่หน้าที่คืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น การที่จำเลยทำสัญญาจำนำและมอบสมุดคู่ฝากเงินประจำไว้แก่ผู้ร้องก็เพียงเพื่อประกันหนี้ที่ลูกหนี้ 31 ราย มีต่อผู้ร้อง แม้จำเลยจะตกลงยินยอมให้ผู้ร้องนำเงินจากบัญชีดังกล่าวมาชำระหนี้ของจำเลยที่มีต่อผู้ร้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวตามสัญญาจำนำสิทธิตราสารการฝากเงินก็เป็นเรื่องความตกลงในการฝากเงินเพื่อเป็นประกันนั้นเอง หาทำให้ตัวเงินตามจำนวนในบัญชีเงินฝากยังคงเป็นของจำเลยอันผู้ร้องได้ยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ไม่ ความตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการจำนำเงินฝากและการที่จำเลยมอบสมุดคู่ฝากเงินประจำให้ผู้ร้องยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ของลูกหนี้ 31 รายก็มิใช่เป็นการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 750 อีกเช่นกัน เพราะสมุดคู่ฝากเงินประจำเป็นเพียงหลักฐานการรับฝากและถอนเงินที่ผู้ร้องออกให้จำเลยยึดถือไว้เพื่อสะดวกในการฝากและถอนเงินในบัญชีฝากประจำของจำเลยเท่านั้น ไม่อยู่ในลักษณะของสิทธิซึ่งมีตราสาร ผู้ร้องจึงไม่เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนำ ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share