คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4097/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาท อ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2ประเด็นในคดีจึงมีว่า ที่ดินและตึกพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 หรือไม่ ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงที่จะ ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องใดๆ ต่อกันอีก เพราะไม่มีสินสมรสระหว่าง ที่เป็นสามีภรรยากันโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ซึ่งยังมิได้วินิจฉัย ในประเด็นแห่งคดี ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินและตึกพิพาทกับทรัพย์สินในตึกพิพาทที่เป็นของตนทั้งหมดคืนมา อ้างว่าจำเลยที่ 2 ข่มขู่ เอาที่ดินและตึกไปเป็นของตน และกีดกันขัดขวาง มิให้โจทก์ได้ครอบครองใช้สอยทรัพย์สินภายในตึกพิพาท เป็นฟ้องกรณีละเมิดและเรียกทรัพย์คืน ประเด็นที่จะวินิจฉัย จึงอาศัยเหตุที่ต่างกันกับคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพี่เขยโจทก์และเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวแทนโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ข่มขู่จำเลยที่ 1 ให้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจและมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทเป็นของตน ทั้งจ้างวานให้บุคคลอื่นเอาโซ่ล่ามคล้องกุญแจ ปิดประตูตึกแถวของโจทก์ จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทกับเครื่องเรือนภายในคืนโจทก์ภายใน 7 วัน หากไม่จัดการให้ใช้ราคา 510,000 บาทกับค่าเสียหาย 15,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,500 บาทนับแต่เดือนพฤศจิกายน 2524 จนกว่าจะโอนเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่าถูกจำเลยที่ 2 กับพวกข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีอาญาจึงกลัวโอนที่ดินไปและพร้อมจะโอนคืน ไม่รู้เห็นกรณีจำเลยที่ 2 ครอบครองตึกแถวและสิ่งของภายในตึกแถว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินและตึกแถวพิพาท มิใช่ของโจทก์จำเลยที่ 1 มิได้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ ขณะโจทก์เป็นภรรยาจำเลยที่ 2 โจทก์หลอกลวงเอาเงินจากนายเง็กเตียวบิดาจำเลยที่ 2 ไปซื้อที่ดินและตึกแถวอ้างว่าได้ราคาถูกจำเลยที่ 1 ยอมโอนตึกพิพาทให้จำเลยที่ 2 เพราะนายเง็กเตียวเป็นคนต่างด้าวทรัพย์สินในตึกพิพาทเป็นของนายเง็กเตียว เฟอร์นิเจอร์ในตึกพิพาทเป็นของนางเง็กเตียวจัดหามาไว้เพื่อดำเนินธุรกิจการค้า จำเลยที่ 2 ไม่เคยใช้ผู้ใดเอาโซ่ไปล่ามและคล้องกุญแจตึกพิพาท โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับที่ดินและตึกพิพาทมาแล้ว จึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 21343พร้อมตึกแถวคืนโจทก์ภายใน 7 วัน หากโอนไม่ได้ให้ใช้เงิน 450,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 คืนเครื่องเฟอร์นิเจอร์ ที่นอน และจักรเย็บผ้า หากคืนไม่ได้ให้ใช้เงิน60,000 บาท กับให้ใช้เงินเดือนละ 1,000 บาท นับแต่เดือนพฤษภาคม 2524เป็นต้นไปจนกว่าจะโอนที่ดินและตึกแถวคืนแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 654/2524 ของศาลชั้นต้นระหว่างนางกรรณิกา พิสิฐมณีโรจน์ โจทก์ นายสุรชัย ทรงพลโรจนกุล จำเลย หรือไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการโอนที่ดินและตึกพิพาทมาเป็นของโจทก์หรือไม่ ทรัพย์สินในตึกพิพาทตามฟ้องเป็นของโจทก์หรือไม่ และโจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด
ปัญหาแรกกรณีฟ้องซ้ำนั้น คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาทอ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ประเด็นในคดีจึงมีว่าที่ดินและตึกพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่าคดีก่อนโจทก์ฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ผู้เดียวขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาทอ้างว่าเป็นสินสมรสศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า ทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงที่จะไม่ใช้สิทธิเรียกร้องใด ๆต่อกันอีก เพราะไม่มีสินสมรสระหว่างที่เป็นสามีภรรยากัน โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2ไม่ได้ ซึ่งยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีส่วนคดีนี้ โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินและตึกพิพาทกับทรัพย์สินในตึกพิพาทที่เป็นของตนทั้งหมดคืนมา อ้างว่าจำเลยที่ 2 ข่มขู่ เอาที่ดินและตึกไปเป็นของตน และกีดกันขัดขวางมิให้โจทก์ได้ครอบครองใช้สอยทรัพย์สินภายในตึกพิพาท เป็นฟ้องกรณีละเมิดและเรียกทรัพย์คืน ประเด็นที่จะวินิจฉัย จึงอาศัยเหตุที่ต่างกันกับคดีก่อน ฟ้องคดีนี้ จึงไม่ซ้ำกับคดีดังกล่าว
ปัญหาต่อไปที่ว่า มีเหตุที่จะเพิกถอนการโอนที่ดินและตึกพิพาทมาเป็นของโจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอเพิกถอนการโอนที่ดินและตึกพิพาทตามฟ้อง
ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินในตึกพิพาทนั้น เชื่อว่าทรัพย์สินในตึกพิพาทตามฟ้องเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบทรัพย์สินในตึกพิพาทตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งหมด หากส่งมอบไม่ได้ก็ให้ใช้เงิน 60,000 บาท ส่วนข้อที่ให้โอนที่ดินและตึกพิพาทคืนนโจทก์นั้น ให้ยก

Share