คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1876/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะผู้เสียหายนั่งคุยกับ จ. จำเลยที่ 2 ได้เข้าไปขอเงิน 5 บาท ผู้เสียหายพูดว่าไม่มีให้จำเลยที่ 1 ใช้มีดจี้คอผู้เสียหายและพูดว่า ถ้าไม่ให้เจ็บตัว จ. ส่งเงิน 10 บาท ให้ผู้เสียหายแล้วผู้เสียหายส่งให้จำเลยที่ 2 รับไป เมื่อได้เงินแล้วจำเลยที่ 2 ได้เดินไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ ค้นตัวได้เงินเพียง10 บาทที่ จ.ให้ไปเท่านั้น จ.ตอบคำถามค้านว่าให้เงินแก่จำเลยที่ 2 ด้วยความสมัครใจ เต็มใจ เพราะสงสาร ดังนี้ พฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำโดยสุจริตมิได้มีเจตนา ร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหายมาแต่แรก เมื่อได้เงินตามที่ขอแล้วก็ไม่ขู่เอาทรัพย์อื่นต่อไปอีก การเอา เงินไปจึงถือไม่ได้ว่า เกิดจากการลักทรัพย์จึง ไม่เป็น ความผิดฐานชิงทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีมีดเป็นอาวุธทำการชิงทรัพย์เอาเงินจำนวน๑๐ บาท ของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุขณะที่นายสงกรานต์ พาลี ผู้เสียหายนั่งคุยกับนายสาวจิราภรณ์ บุญมั่ง อยู่ที่ม้านั่งสาธารณะริมสนามหลวงตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำเลยที่ ๒ ได้ไปขอเงิน ๕ บาท จากคนทั้งสอง ผู้เสียหายพูกว่าไม่มีให้ จำเลยที่ ๑ ได้ใช้มีดตัดหนังจี้ที่คอด้านหลังของผู้เสียหายแล้วพูดว่า เฮ้ยจะให้หรือเปล่า ถ้าไม่ให้เจ็บตัว นางสาวจิราภรณ์ได้ส่งธนบัตรฉบับละ ๑๐ บาท จำนวน ๑ ฉบับ ให้ผู้เสียหาย แล้วผู้เสียหายส่งให้จำเลยที่ ๒ รับไป ได้เงินแล้วจำเลยที่ ๒ กับพวกเดินไปทางท่าพระจันทร์ผู้เสียหายไปแจ้งความและนำตำรวจไปจับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในข้อหาชิงทรัพย์ดำเนินเป็นคดีนี้ จำเลยที่ ๑ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษความผิดฐานชิงทรัพย์คดีถึงที่สุด
ปัญหาที่อ้างวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่นั้น ตามทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนักศึกษาแผนกช่างหนัง ชั้นปีที่ ๓ วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมกรุงเทพ จำเลยที่ ๒ เป็นนักเรียกชั้นปีที่ ๑โรงเรียนพาณิชยการสากลบางโพ แผนกช่างสำรวจ วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้ชวนเพื่อนหลายคนไปดื่มสุราที่ร้านค้าหลังโรงเรียนของจำเลยที่ ๑ จนเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกาจึงชวนกันกลับบ้านจำเลยที่ ๒ ไม่มีเงินตั้งใจจะขอเงินจากเพื่อนแต่ไม่มีใครมีเงิน จึงเข้าไปยกมือไหว้ผู้เสียหายและนางสาวจิราภรณ์ขอเงิน ๕ บาทเป็นค่ารถเมล์กลับบ้านนางสาวจิราภรณ์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าให้เงิน ๑๐ บาทแก่จำเลยที่ ๒ ด้วยความสมัครใจ เต็มใจ เพราะสงสาร เมื่อได้เงินแล้วจำเลยที่ ๒ ได้ไปส่งเพื่อนเพื่อลงเรือที่ท่าพระจันทร์ เดินไปห่างที่เกิดเหตุประมาณ ๒๕๐ เมตร ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ ค้นตัวจำเลยทั้งสองมีเงินเพียง ๑๐ บาทที่นางสาวจิราภรณ์ให้ไปเท่านั้น พฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่า จำเลยที่ ๒ กระทำโดยสุจริตมิได้มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ ๑ เพื่อทำการชิงทรัพย์ของผู้เสียหายมาแต่แรก เมื่อได้เงินตามที่ขอแล้วก็ไม่ขู่เอาทรัพย์อื่นต่อไปอีก ฉะนั้นการที่เอาเงินของกลางไปถือไม่ได้ว่าเกิดจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share