คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ ถอนการบังคับคดี เพราะเหตุที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดมีผลโดยตรงเฉพาะโจทก์เท่านั้นไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์โดยชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหมายนัดถึงผู้ร้องทั้งสองแจ้งว่าถ้าหากประสงค์จะ สวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ให้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน7วันผู้ร้องทั้งสองได้แถลงแจ้งความประสงค์ในวันดังกล่าวแม้จะกระทำในเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดีก็ย่อมมีผลให้ผู้ร้องทั้งสองสามารถดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา290วรรคแปดโดยไม่จำต้องให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต

ย่อยาว

คดี นี้ สืบเนื่อง มาจาก ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย คืน ข้าวสารจำนวน 150 กระสอบ แก่ โจทก์ หาก คืน ไม่ได้ ให้ ใช้ ราคา เป็น เงิน 62,400บาท พร้อม ดอกเบี้ย ต่อมา จำเลย ไม่ยอม ชำระหนี้ ตาม คำพิพากษา ดังกล่าวโจทก์ ขอให้ บังคับคดี เจ้าพนักงาน บังคับคดี นำยึด ทรัพย์ จำเลย ตามบัญชี ยึดทรัพย์ ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2524 ผู้ร้อง ทั้ง สอง ยื่นคำร้องขอ เฉลี่ยทรัพย์ ศาลชั้นต้น อนุญาต ต่อมา โจทก์ เพิกเฉยไม่บังคับ คดี ภายใน ระยะเวลา ที่ เจ้าพนักงาน บังคับคดี กำหนด ศาลชั้นต้นมี คำสั่ง ให้ ถอน การ บังคับคดี ผู้ร้อง ทั้ง สอง ยื่น คำร้อง ฉบับ ลงวันที่8 เมษายน 2536 ว่า เนื่องจาก ศาล ถอน การ บังคับคดี โจทก์ แล้ว ผู้ร้องทั้ง สอง ยื่น คำร้องขอ เฉลี่ยทรัพย์ ศาลชั้นต้น อนุญาต ต่อมา โจทก์เพิกเฉย ไม่บังคับ คดี ภายใน ระยะเวลา ที่ เจ้าพนักงาน บังคับคดี กำหนดศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ให้ ถอน การ บังคับคดี ผู้ร้อง ทั้ง สอง ยื่น คำร้องฉบับ ลงวันที่ 8 เมษายน 2536 ว่า เนื่องจาก ศาล ถอน การ บังคับคดี โจทก์แล้ว ผู้ร้อง ทั้ง สอง ใน ฐานะ เจ้าหนี้ ของ จำเลย ประสงค์ จะ ขอ สวม สิทธิโจทก์ บังคับคดี จำเลย ต่อไป
จำเลย ยื่น คำคัดค้าน ว่า คดี นี้ โจทก์ นำ เจ้าพนักงาน บังคับคดียึดทรัพย์ จำเลย เมื่อ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2524 ได้ ทรัพย์ 12 รายการตาม บัญชี ยึดทรัพย์ ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2524 เจ้าพนักงาน บังคับคดีขาย ทรัพย์ ได้ 3 รายการ ต่อมา โจทก์ ได้ ถอน ทรัพย์ ที่ ยึด ไว้ จน เหลือทรัพย์ ที่ ยึด แต่ ยัง ไม่ได้ ขาย อีก เพียง 1 รายการ คือ ทรัพย์ อันดับ ที่ 1ตาม บัญชี ยึดทรัพย์ ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2524 โจทก์ ไม่ สนใจ ติดตามบังคับคดี ภายใน เวลา ที่ เจ้าพนักงาน บังคับคดี กำหนด เจ้าพนักงานบังคับคดี จึง รายงาน ศาล ขอ ถอน การ บังคับคดี และ ศาล มี คำสั่ง ถอน การบังคับคดี เมื่อ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 ทรัพย์ ดังกล่าว จึง หลุดพ้นจาก การ ถูก ยึด และ บังคับคดี แล้ว ผู้ร้อง ทั้ง สอง ไม่มี สิทธิ ยื่น คำร้องเข้า มา เพื่อ สวม สิทธิ โจทก์ ใน ฐานะ เจ้าหนี้ เพื่อ บังคับคดี ต่อไป เพราะเวลา แห่ง การ บังคับคดี ตาม คำพิพากษา คดี นี้ ได้ สิ้นสุด และ ขาดอายุความแล้ว ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ขอให้ ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง อนุญาต ให้ ผู้ร้อง ทั้ง สอง ดำเนินการ บังคับคดีต่อไป เฉพาะ ทรัพย์ อันดับ ที่ 1 ตาม บัญชี ยึดทรัพย์ ลงวันที่ 10กุมภาพันธ์ 2524
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว คดี มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัยตาม ฎีกา ของ จำเลย ว่า ผู้ร้อง ทั้ง สอง มีสิทธิ ขอให้ ดำเนินการ บังคับคดีเอา แก่ ทรัพย์ ของ จำเลย อันดับ ที่ 1 ตาม บัญชี ยึดทรัพย์ ลงวันที่ 10กุมภาพันธ์ 2524 ต่อไป หรือไม่ โดย จำเลย ฎีกา ว่า ศาลชั้นต้น ได้ มีคำสั่ง ถอน การ บังคับคดี เมื่อ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 มีผล ทำให้กระบวนการ บังคับคดี ยกเลิก เพิกถอน ไป ทั้งหมด เหลือ เพียง ขั้นตอน การ เสียค่าธรรมเนียม ใน การ ถอน การ ยึด ก่อน ขายทอดตลาด เจ้าพนักงาน บังคับคดีมี หนังสือ ลงวันที่ 8 เมษายน 2536 สอบถาม ผู้ร้อง ทั้ง สอง ว่า จะ เข้าสวม สิทธิ บังคับคดี ต่อไป หรือไม่ และ ผู้ร้อง ทั้ง สอง แจ้งความ ประสงค์ตกลง บังคับคดี ต่อไป ใน วันเดียว กัน เจ้าพนักงาน บังคับคดี ไม่มี อำนาจลบล้าง คำสั่งศาล ชั้นต้น ที่ ให้ ถอน การ บังคับคดี เมื่อ โจทก์ ก็ ไม่มีสิทธิ ใน การ บังคับคดี อีก ผู้ร้อง ทั้ง สอง จึง ไม่อาจ สวม สิทธิ บังคับคดีจำเลย โดย ไม่มี คำสั่ง อนุญาต จาก ศาล ตาม ฎีกา จำเลย ดังกล่าว มี ปัญหาใน เบื้องแรก ว่า คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น ที่ ให้ ถอน การ บังคับคดี เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 เพราะ เหตุ ที่ โจทก์ ซึ่ง เป็น เจ้าหนี้ ตามคำพิพากษา เพิกเฉย ไม่ ดำเนินการ บังคับคดี ภายใน ระยะเวลา ที่ เจ้าพนักงานบังคับคดี กำหนด จะ มีผล ต่อ ผู้ร้อง ทั้ง สอง ซึ่ง ได้ ยื่น คำร้องขอ เฉลี่ยทรัพย์ เมื่อ วันที่ 4 และ 5 สิงหาคม 2524 โดยชอบ ตาม ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณา ความ แพ่ง มาตรา 271 และ มาตรา 290 ตามลำดับ เพียงใดหรือไม่ เห็นว่า กรณี ที่ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ ยึดทรัพย์สินสละ สิทธิ ใน การ บังคับคดี หรือ เพิกเฉย ไม่ ดำเนินการ บังคับคดี ภายในเวลา ที่ เจ้าพนักงาน บังคับคดี กำหนด ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295 ทวิ บัญญัติ ให้ เจ้าพนักงาน บังคับคดี ขอให้ ศาล สั่ง ถอนการ บังคับคดี นั้น เสีย ส่วน มาตรา 290 วรรคแปด บัญญัติ ให้ ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ ตาม วรรคแรก มีสิทธิ ขอให้ ดำเนินการ บังคับคดี ต่อไปเมื่อ ใจความ ทั้ง สอง มาตรา หา ได้ กำหนด ไว้ ว่า เจ้าพนักงาน บังคับคดี กับผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ จะ ต้อง ร้องขอ ภายใน กำหนด เวลา หรือ เงื่อนไข อย่างไรคดี นี้ ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง เมื่อ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 ให้ ถอนการ บังคับคดี จึง ย่อม มีผล โดยตรง เฉพาะ โจทก์ ซึ่ง เป็น เจ้าหนี้ ตามคำพิพากษา ที่ ขอให้ ศาล บังคับคดี ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 โดย ไม่อาจ บังคับคดี ต่อไป ได้ เท่านั้น แต่ ไม่ กระทบ ถึง สิทธิของ ผู้ร้อง ทั้ง สอง ซึ่ง เป็น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ใน คดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 127/2524 กับ หมายเลขแดง ที่ 134/2524 ที่ ได้ ยื่น คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ เมื่อ วันที่ 4 และ 5 สิงหาคม 2524 ตามลำดับ โดยชอบ ที่ จะดำเนินการ บังคับคดี ต่อไป เพื่อ ให้ ความเป็นธรรม แก่ ผู้ร้อง ทั้ง สองซึ่ง จำต้อง ร้องขอ เฉลี่ยทรัพย์ เพราะ ไม่อาจ ยึด หรือ อายัดทรัพย์ สิน ซ้ำตาม มาตรา 290 วรรคแรก ได้ ซึ่ง หาก กฎหมาย ไม่ คุ้มครอง สิทธิ ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ โดยชอบ ดังกล่าว ก็ อาจ เป็น ช่องทาง ให้ โอกาส แก่ เจ้าหนี้ตาม คำพิพากษา ที่ ได้ ยึดทรัพย์สิน ของ ลูกหนี้ ตาม คำพิพากษา ไว้ ก่อนอาจ ใช้ วิธีการ เพิกเฉย ไม่บังคับ คดี ต่อไป ทำให้ ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ไม่อาจ บังคับคดี เพื่อ ชำระหนี้ ตาม กฎหมาย ก็ เป็น ได้ ใน คดี นี้ เมื่อเจ้าพนักงาน บังคับคดี มี หมายนัด เมื่อ วันที่ 25 มีนาคม 2536 ถึงผู้ร้อง ทั้ง สอง แจ้ง ว่า ถ้าหาก ประสงค์ จะ สวม สิทธิ บังคับคดี แทน โจทก์ให้ แถลง ต่อ เจ้าพนักงาน บังคับคดี ภายใน 7 วัน ผู้ร้อง ทั้ง สอง ได้ แถลงแจ้งความ ประสงค์ ใน วัน ดังกล่าว แล้ว แม้ จะ กระทำ ใน เวลา ภายหลัง ที่ ศาลมี คำสั่ง ให้ ถอน การ บังคับคดี ก็ ย่อม มีผล ให้ ผู้ร้อง ทั้ง สอง สามารถดำเนินการ บังคับคดี ต่อไป โดย อาศัย อำนาจ มาตรา 290 วรรคแปดโดย ไม่จำต้อง ให้ ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง อนุญาต ดัง ที่ จำเลย ฎีกา อีกที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ต้อง ตาม กัน มา ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วยฎีกา จำเลย ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share