แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยแพ้คดีโจทก์ แล้วยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำบังคับที่ศาลมีไว้ต่อจำเลยในกำหนด ต่อมาจำเลยจะมายื่นคำร้องว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันนอกศาลแล้ว ขอมิให้มีการบังคับคดีไม่ได้ ในเมื่อการประนีประนอมยอมความนั้นโจทก์อ้างว่าเกิดขึ้นโดยถูกข่มขู่ เพราะคู่ความชอบที่จะมาทำประนีประนอมกันในศาลๆ จะได้รู้เห็น และได้พิจารณาว่าการประนีประนอมนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกจะได้พิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลง และถือว่าเป็นการที่ให้ศาลได้รับรู้เกี่ยวกับการบังคับคดี เมื่อทำกันนอกศาลๆ ก็ไม่รู้ และถ้ายอมรับฟัง การบังคับคดีก็จะไม่อาจเป็นไปได้โดยราบรื่น เพราะฝ่ายที่ถูกบังคับย่อมจะมีข้ออ้างมาร้องต่าง ๆ
ย่อยาว
ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเป็นปัญหาเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีเรื่องนี้
เดิมศาลจังหวัดกาญจนบุรีพิพากษาว่า ทรัพย์สินในไร่ฝ้าย อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ที่จำเลยยึดเอาของโจทก์ไปตามบัญชีท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ให้จำเลยคืนให้โจทก์ตามสภาพเดิม มิฉะนั้นก็ให้ใช้ราคาแทน กับให้จำเลยใช้ราคาฝ้าย ๓,๘๔๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมกับค่าทนาย ซึ่งคดีนี้สิ้นสุดเพียงศาลอุทธรณ์
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์ในเรื่องการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่จำเลยแพ้คดีแล้ว สิทธิใด ๆ ของโจทก์ที่มีอยู่ก่อนวันทำสัญญาย่อมระงับไปโดยสิ้นเชิง เพราะต่างได้สิทธิใหม่ ตามป.ม.แพ่งฯมาตรา ๘๕๐,๘๕๒
โจทก์แถลงแก้ว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งใดย่อมผูกพันกระบวนพิจารณาของศาลที่มีคำพิพากษาและคำสั่งอยู่จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับหรืองดเสียโดยศาลสูง แต่นี่ไม่มี ก็ต้องบังคับไปตามเดิม ทั้งการประนีประนอมที่จำเลยกล่าวอ้างเกิดเพราะการข่มขู่ซึ่งโจทก์ได้บอกล้างไปแล้ว จึงตกเป็นโมฆะ เมื่อศาลบังคับคดีโจทก์ยอมให้หักเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาทออก
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว สั่งให้บังคับคดีไปตามโจทก์ขอ
จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีนี้จำเลยแพ้คดีซึ่งถึงที่สุดแล้ว โจทก์ก็ขอให้ศาลบังคับคดีคดีภายในกำหนดเวลาตาม ป.วิ. ฯ แพ่ง มาตรา ๒๗๑ จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลที่ออกบังคับแก่จำเลย จำเลยจะอ้างเอาสัญญาประนีประนอมนอกศาลมาเป็นเหตุมิให้มีการบังคับคดีได้หรือไม่ ถ้าคู่ความจะทำสัญญาดังกล่าวกันในศาลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๓๘ ศาลก็จะได้มีโอกาสพิจารณาว่าข้อตกลงหรือการประนีประนอมนั้นฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ก็จะได้พิพากษาไปตามนั้น แต่นี่มิได้ปฏิบัติการตาม มาตรา ๑๓๘ ทั้งโจทก์ยังอ้างว่ามีการข่มขู่ ได้บอกล้าง เป็นโมฆะ เมื่อสัญญาที่จำเลยอ้างยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวกันต่างหากอีกเรื่องหนึ่ง จำเลยจะยกเอาสัญญาที่ทำกันนอกศาล หรือยกเอาเหตุที่ตนฟ้องโจทก์เนื่องแต่สัญญานั้นมาเป็นเหตุให้มีการบังคับคดี เพื่อตนจะไม่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาก็ย่อมจะไม่ได้ผล เพราะลูกหนี้อาจะเถียงได้ต่าง ๆ เช่นเถียงว่า ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษานอกศาลแล้ว เป็นต้น
จึงพิพากษายืน