แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้นับโทษจำเลยติดต่อกับโทษของจำเลยในคดีก่อนปรากฏว่าคดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้จึงไม่อาจนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ติดต่อกับคดีก่อนได้ต้องนับแต่วันต้องขังตามหลักทั่วไป ฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาในดุลพินิจซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218แต่ในคดีที่ฎีกาได้แต่ปัญหาข้อกฎหมายเมื่อพฤติการณ์ที่ปรากฏในคดีโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดยังไม่เหมาะสมแก่รูปคดีศาลฎีกาย่อมมีอำนาจเปลี่ยนแปลงดุลพินิจในการลงโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีไม้ตะเคียนหนูแปรรูปจำนวน 7 แผ่นไม้รังแปรรูปจำนวน 23 แผ่น รวมปริมาตร 0.45 ลูกบาศก์เมตร อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไม้หวงห้ามธรรมดาไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ซึ่งจำเลยได้ทราบแล้วโดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3444/2537ของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่พิพากษาลงโทษจำคุก 18 เดือน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 ทวิริบของกลางทั้งหมดและนับโทษจำเลยติดต่อกับโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3444/2537 ของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 ทวิ (ที่ถูกมาตรา 48 วรรคหนึ่ง,73 วรรคหนึ่ง) จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 3 เดือน นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3628/2537 หมายเลขแดงที่ 3444/2537ของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ของกลางริบ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3444/2537 ของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ปรากฏว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3444/2537 ของศาลอุทธรณ์ภาค 2ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้รอการลงโทษจำเลยไว้ โจทก์จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่3444/2537 ของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้ เห็นว่า เมื่อปรากฏว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3444/2537 ของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้รอการลงโทษจำเลยไว้ ปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2539ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดลำพูน โจทก์ นายปันแก้ว ทาบ้านแป้นจำเลย คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ให้นับโทษต่อก็บังคับให้นับโทษต่อไม่ได้ ต้องนับแต่วันต้องขังตามหลักทั่วไปฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาในดุลพินิจซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 แต่เห็นว่าในคดีที่ฎีกาได้แต่ปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อพฤติการณ์ที่ปรากฏในคดีโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดยังไม่เหมาะสมแก่รูปคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจเปลี่ยนแปลงดุลพินิจในการลงโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดไว้ได้เฉพาะคดีนี้ ไม้ของกลางมีจำนวนเล็กน้อยและตามหลักฐานท้ายฎีกาจำเลยซึ่งโจทก์ไม่ได้โต้แย้งก็ปรากฏว่าจำเลยได้ประพฤติตนเป็นคนดีตลอดมา พฤติการณ์และเหตุผลแห่งรูปคดีมีเหตุสมควรรอการลงโทษเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี แต่เพื่อจำเลยได้รู้สำนึกในการกระทำความผิดและระมัดระวังไม่กระทำความผิดอีก จึงเห็นสมควรให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 โดยวางข้อกำหนดคุมความประพฤติของจำเลยให้จำเลยประกอบอาชีพเป็นกิจจะลักษณะ ให้จำเลยกระทำกิจการบริการสังคมไม่น้อยกว่า 30 ชั่วโมง และให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง กับให้ยกคำขอที่ให้นับโทษต่อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2