คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4095/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 3 มีนาคม 2551 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วและมีคำสั่งว่าคดีโจทก์มีมูลตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา จึงสอบถามจำเลยเรื่องทนายความ เป็นการสอบถามในชั้นพิจารณา มิใช่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง กรณีจึงไม่อาจนำ ป.วิ.อ. มาตรา 134/1 วรรคสอง ประกอบมาตรา 171 มาใช้บังคับได้ และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 40 ก็ไม่ได้กำหนดรายละเอียดของสิทธิในกระบวนการยุติธรรม หากแต่กำหนดหลักการอันเป็นสาระสำคัญไว้เท่านั้น กรณีจึงต้องบังคับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคสอง ศาลชั้นต้นเพิ่งอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังกับสอบคำให้การจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 20 มีนาคม 2551 ดังนี้ ถือว่าในวันที่ 3 มีนาคม 2551 ศาลชั้นต้นยังไม่ได้เริ่มพิจารณาคดี เมื่อต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม 2551 ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง สอบคำให้การจำเลย และสอบจำเลยเรื่องทนายความแล้ว จำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความและให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้บันทึกคำให้การของจำเลยไว้แล้ว จึงเป็นกรณีที่ก่อนเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นได้ถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่แล้ว เมื่อจำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความย่อมไม่มีกรณีที่ศาลชั้นต้นต้องตั้งทนายความให้จำเลย กระบวนการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคสองแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 (1) (4) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กระทงแรก จำคุก 2 เดือน กระทงที่สอง จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยพยายามบรรเทาผลร้ายแก่โจทก์บ้างแล้ว จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า กระทงแรก จำคุก 1 เดือน กระทงที่สอง จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 3 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง 1 เดือน 15 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) เพราะมูลหนี้ตามฟ้องเป็นมูลหนี้ระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม มิค มีเดีย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวด้วยกับนิติบุคคล โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่ง ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า เช็คพิพาทจำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม มิค มีเดีย ร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คอย่างไร ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม มิค มีเดีย เป็นจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คอย่างไร โจทก์ได้รับมอบเช็คจากจำเลยและห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม มิค มีเดีย มาอย่างไร จำเลยร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม มิค มีเดีย ถอนเงินจากบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คนั้นได้อย่างไร เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาต่าง ๆ นั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับเพื่อชำระหนี้ค่าผลิตป้ายโฆษณา และอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับผลิตป้ายโฆษณาให้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย ซึ่งในการวินิจฉัยฎีกาของจำเลยดังกล่าว ศาลฎีกาต้องย้อนไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า มูลหนี้ตามฟ้องเป็นมูลหนี้ระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม มิค มีเดีย หรือไม่ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้วเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก และศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่านายสมชาย หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ในฐานะส่วนตัวได้รับความเสียหายโดยเป็นผู้ทรงเช็คด้วย นายสมชายจึงมิได้เป็นผู้เสียหายโดยตรง และไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย การที่นายสมชายเบิกความชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ไม่ใช่เป็นการดำเนินคดีในฐานะเป็นผู้เสียหายโดยตรง นายสมชายไม่ได้รับความเสียหายโดยตรง เมื่อโจทก์และนายสมชายไม่ใช่ผู้เสียหาย โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่าง ๆ เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว การที่นายสมชายเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็มิใช่เป็นการเบิกความในฐานะผู้จัดการแทนนิติบุคคล ถือไม่ได้ว่านายสมชายเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจดำเนินคดีนี้ การที่ศาลชั้นต้นรับฟ้อง ไต่สวนมูลฟ้อง และดำเนินกระบวนพิจารณาต่าง ๆ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้นายสมชายมิได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษานี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการเดียวว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ตั้งทนายความให้จำเลย เมื่อจำเลยแถลงว่าไม่มีทนายความ และต้องการทนายความ ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 3 มีนาคม 2551 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยแถลงว่าไม่มีทนายความและต้องการทนายความ ศาลชั้นต้นต้องตั้งทนายความให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/1 วรรคสอง ประกอบมาตรา 171 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 40 (3)(4) (5) (7) นั้น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 3 มีนาคม 2551 เมื่อศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วและมีคำสั่งว่า คดีโจทก์มีมูลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา จึงสอบถามจำเลยเรื่องทนายความ การสอบเรื่องทนายความของศาลชั้นต้นจึงเป็นการสอบถามในชั้นพิจารณา มิใช่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง กรณีจึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/1 วรรคสอง ประกอบมาตรา 171 มาใช้บังคับได้ดังที่จำเลยฎีกา และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 40 ก็ไม่ได้กำหนดรายละเอียดของสิทธิในกระบวนการยุติธรรม หากแต่กำหนดหลักการอันเป็นสาระสำคัญไว้เท่านั้น กรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้” อันเป็นการกำหนดรายละเอียดของสิทธิไว้ชัดแจ้งแล้ว เมื่อตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 3 มีนาคม 2551 ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยหรือสอบคำให้การจำเลย ศาลชั้นต้นเพิ่งอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังกับสอบคำให้การจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 20 มีนาคม 2551 ดังนี้ถือว่าในวันที่ 3 มีนาคม 2551 ศาลชั้นต้นยังไม่ได้เริ่มพิจารณาคดี เมื่อต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม 2551 ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง สอบคำให้การจำเลย และสอบจำเลยเรื่องทนายความแล้วจำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความและให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลได้บันทึกคำให้การของจำเลยไว้แล้ว จึงเป็นกรณีที่ก่อนเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นได้ถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่แล้ว และเมื่อจำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความย่อมไม่มีกรณีที่ศาลชั้นต้นต้องตั้งทนายความให้จำเลย กระบวนพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสอง แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share