คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16121/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยให้โจทก์จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่างตอบแทนกัน โจทก์จำเลยต่างฝ่ายต่างจึงต้องบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา หาใช่บังคับให้เป็นไปตามสัญญาจะซื้อจะขายอีกต่อไปไม่ การบังคับคดีตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดดังกล่าวนั้น เมื่อโจทก์จะรับโอนที่ดินพิพาทโดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โจทก์มีหน้าที่ต้องนำเงินค่าที่ดินมาวางศาลภายในกำหนดเพื่อชำระให้แก่จำเลยเสียก่อน ส่วนคำบังคับที่ให้โจทก์ชำระค่าที่ดินให้จำเลยภายใน 30 วันนั้น เป็นเพียงกำหนดเวลาที่ให้โจทก์เป็นผู้ชำระหนี้เองเท่านั้น ซึ่งหากโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดตามคำบังคับ จำเลยย่อมร้องขอให้ใช้วิธีการบังคับคดียึดทรัพย์ของโจทก์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 275 การที่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้จนพ้นกำหนดเวลาตามคำบังคับ จึงหาตัดสิทธิโจทก์ที่จะยอมชำระหนี้ด้วยความสมัครใจในระหว่างถูกบังคับคดีไม่ โจทก์จึงชอบที่จะวางเงินค่าที่ดินชำระหนี้แก่จำเลยแม้จะเกินกำหนดระยะเวลาตามคำบังคับได้ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ทำให้จำเลยไม่จำต้องบังคับคดีแก่โจทก์ต่อไปเท่านั้น และหาเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะร้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนด้วยไม่ จำเลยจึงไม่อาจร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีห้ามโจทก์ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามคำร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 11789 ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ให้โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่ยังเหลืออีกจำนวน 1,599,503 บาท ให้จำเลย ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามสัญญาแก่โจทก์ 50,000 บาท ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมโอนขายให้โจทก์และจำเลยชำระคนละกึ่งหนึ่ง จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ชอบด้วยเหตุผลแล้ว และไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกคำบังคับให้โจทก์และจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 จำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้รับคำบังคับเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2553 ครบกำหนดชำระหนี้ตามคำบังคับ 30 วัน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2553 แต่โจทก์มิได้นำเงินค่าที่ดินมาชำระแก่จำเลยภายในกำหนดเวลาตามคำบังคับ จำเลยจึงไม่จำต้องโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และมีสิทธิริบเงินมัดจำกับเรียกค่าเสียหายตามหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับลงวันที่ 22 ตุลาคม 2553 ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อห้ามโจทก์ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ และให้โจทก์ชำระค่าที่ดินให้จำเลย เป็นกรณีที่ศาลฎีกาให้โจทก์และจำเลยต่างมีหน้าที่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่กัน เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้นำเงินค่าที่ดินมาชำระแล้ว จำเลยในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีหน้าที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กรณีไม่มีเหตุให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำร้อง ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 จำเลยยื่นคำร้องฉบับวันที่ 20 ธันวาคม 2553 และฉบับวันที่ 12 มกราคม 2554 ว่า โจทก์นำเงินมาวางศาลเมื่อล่วงพ้นกำหนดตามคำบังคับและมิได้วางทรัพย์ ณ สำนักงานวางทรัพย์ประจำตำบลที่จะต้องชำระหนี้ จึงไม่มีเหตุที่จะบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำบังคับฉบับลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 และคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ออกคำบังคับจำเลยเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ศาลชั้นต้นส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิจารณาสั่งพร้อมคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน และยกคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2553 และวันที่ 12 มกราคม 2554 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังว่า โจทก์กับจำเลยพิพาทกันตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว บังคับให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 11789 ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ให้โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่ยังเหลือจำนวน 1,599,503 บาท ให้จำเลย ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามสัญญาแก่โจทก์จำนวน 50,000 บาท ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมโอนขายให้โจทก์และจำเลยชำระคนละกึ่งหนึ่ง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก สำหรับเงินค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท นั้น จำเลยได้นำมาวางศาลเพื่อชำระแก่โจทก์แล้ว ส่วนเงินค่าที่ดินจำนวน 1,599,503 บาท นั้น โจทก์ได้นำมาวางศาลเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2553 ซึ่งเกินกำหนดระยะเวลาตามคำบังคับเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2553
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่โจทก์มิได้นำเงินมาวางศาล เพื่อชำระหนี้จำเลยภายในกำหนดเวลาตามคำบังคับ จะเป็นเหตุให้จำเลยขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ห้ามโจทก์ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ต่างตอบแทนกันตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งยังมีผลบังคับคู่สัญญาให้ปฏิบัติต่อกัน การที่โจทก์ไม่ชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยภายในกำหนดเวลาตามคำบังคับ จำเลยจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา ริบเงินมัดจำ และเรียกค่าเสียหายอันเป็นผลให้โจทก์ไม่อาจบังคับคดีจำเลยได้ต่อไป จำเลยจึงมีสิทธิขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีห้ามโจทก์ตามคำร้องนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยให้โจทก์จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่างตอบแทนกันโจทก์จำเลยต่างฝ่ายต่างจึงต้องบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา หาใช่บังคับให้เป็นไปตามสัญญาจะซื้อจะขายอีกต่อไปไม่ การบังคับคดีตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดดังกล่าวนั้น เมื่อโจทก์จะรับโอนที่ดินพิพาทโดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โจทก์มีหน้าที่ต้องนำเงินค่าที่ดินมาวางศาลภายในกำหนดเพื่อชำระให้แก่จำเลยเสียก่อน ส่วนคำบังคับที่ให้โจทก์ชำระค่าที่ดินให้จำเลยภายใน 30 วันนั้น เป็นเพียงกำหนดเวลาที่ให้โจทก์เป็นผู้ชำระหนี้เองเท่านั้น ซึ่งหากโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดตามคำบังคับ จำเลยย่อมร้องขอให้ใช้วิธีการบังคับคดียึดทรัพย์ของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 การที่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้จนพ้นกำหนดเวลาตามคำบังคับ จึงหาตัดสิทธิโจทก์ที่จะยอมชำระหนี้ด้วยความสมัครใจในระหว่างถูกบังคับคดีไม่ โจทก์จึงชอบที่จะวางเงินค่าที่ดินชำระหนี้แก่จำเลย แม้จะเกินกำหนดระยะเวลาตามคำบังคับได้ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ทำให้จำเลยไม่จำต้องบังคับคดีแก่โจทก์ต่อไปเท่านั้น และหาเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะร้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนด้วยไม่ จำเลยจึงไม่อาจร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีห้ามโจทก์ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามคำร้อง และไม่มีเหตุเพิกถอนคำบังคับจำเลยตามคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2553 และวันที่ 12 มกราคม 2554 โดยไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในข้ออื่นของจำเลยอีก เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share