คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 409/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่ดินโฉนดที่ 1174 ของบุตรจำเลย จำเลยมิได้ทำละเมิด และค่าเสียหายไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ดินนอกโฉนดที่ 1174 และเป็นที่ดินของ ก. เมื่อ ก. ตายแล้วฝ่ายโจทก์ครอบครองตลอดมาจำเลยเพิ่งโต้แย้งการครอบครองไม่ถึง 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครอง โจทก์เป็นทายาทคนหนึ่งของ ก. จึงมีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นที่ว่าจำเลยละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ดังนี้ เมื่อจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้ฎีกาประเด็นที่ว่า ที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่1174 ของจำเลยหรือไม่ โจทก์ขาดสิทธิครอบครองและมีอำนาจฟ้องหรือไม่จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ว่าจำเลยละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์เสียหายจริงแล้ว จำเลยคงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านในประเด็นเรื่องละเมิดและค่าเสียหายเท่านั้น จะรื้อฟื้นประเด็นที่ยุติไปแล้วเป็นข้ออุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีกหาได้ไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแต่ผู้เดียว มิได้ให้จำเลยร่วมต้องรับผิดด้วย จำเลยร่วมจะฎีกาในประเด็นเรื่องค่าเสียหายด้วยหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่าของโจทก์ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทและขับไล่จำเลย ทั้งให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,300 บาท กับอีกปีละ 800 บาท จนกว่าจำเลยจะออกจากที่พิพาท

จำเลยให้การว่า ที่พิพาทตามฟ้องเป็นที่ดินอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 1174 ซึ่งเป็นของนายเทือง มีทรัพย์ บุตรจำเลย โจทก์ไม่เคยเข้ามาครอบครองอย่างเป็นเจ้าของและที่พิพาทได้ผลจากการทำนาไม่เกินปีละ 100 บาท

โจทก์ร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกนายประเทือง มีทรัพย์ เข้าเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต

จำเลยร่วมให้การทำนองเดียวกับจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ที่พิพาทเป็นที่นอกโฉนดเลขที่ 1174 นางกิมลี้ได้แจ้งส.ค.1 ไว้ เมื่อนางกิมลี้ตายแล้ว ฝ่ายโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทตลอดปี จำเลยเพิ่งโต้แย้งการครอบครอง คดีโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครอง และเมื่อนางกิมลี้ตายที่พิพาทก็ตกเป็นของทายาท โจทก์เป็นบิดาและเป็นทายาทจึงมีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นที่ว่า จำเลยละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใดแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปตัดต้นไม้และทำนาในที่พิพาทจริงส่วนจำเลยร่วมฟังไม่ได้ว่าร่วมบุกรุกด้วย พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายกับค่าขาดประโยชน์ให้โจทก์เป็นเงิน 2,300 บาท และต่อ ๆ ไปปีละ 800 บาท จนกว่าจำเลยจะออกจากที่พิพาท

จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินอยู่ภายในเขตโฉนดเลขที่ 1174 ของจำเลยร่วม และแม้จะฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งนางกิมลี้แจ้ง ส.ค.1 ไว้ แต่ผู้มีสิทธิครอบครองก็ได้สละละทิ้งการครอบครองไปเกินกว่า 1 ปี จึงขาดสิทธิการครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นดังกล่าวศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2515 โดยฟังว่าที่พิพาทเป็นที่นอกโฉนดเลขที่ 1174 จำเลยแย่งการครอบครองยังไม่ครบ 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องและพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นที่ว่าจำเลยละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใด จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวภายในกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้ฎีกา ประเด็นที่ว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนด 1174 หรือไม่ โจทก์ขาดสิทธิครอบครองและมีอำนาจฟ้องหรือไม่ จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับนั้น ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาในประเด็นที่ว่า จำเลยละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์เสียหายจริงแล้ว จำเลยก็คงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านในประเด็นเรื่องละเมิดและค่าเสียหายได้ต่อไปเท่านั้น ส่วนประเด็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวแล้ว จำเลยจะรื้อฟื้นเป็นข้ออุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีกหาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยและจำเลยร่วมจึงเป็นอันตกไป ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้

สำหรับในประเด็นเรื่องละเมิดและค่าเสียหายซึ่งจำเลยยังมีสิทธิฎีกาได้ต่อไปนั้น ปรากฏว่าจำเลยฎีกาขึ้นมาเฉพาะในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย มิได้ฎีกาในประเด็นเรื่องละเมิดด้วย คดีจึงมีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นการเกินสมควรไปหรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงในปัญหาดังกล่าวแล้ว ฟังว่าโจทก์เสียหายจริงตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยร่วมฎีกาในข้อนี้ขึ้นมาด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแต่ผู้เดียว มิได้ให้จำเลยร่วมรับผิดด้วย จำเลยร่วมจึงฎีกาในข้อนี้ไม่ได้ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้

พิพากษายืน

Share