แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งเจ็ดเล่นการพนันที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยมากับผู้เสียหายที่ 7 จำเลยได้กลับไปนำเงินที่บ้านของผู้เสียหายที่ 7 รวม 2 ครั้ง ในครั้งที่ 2 จำเลยไปเป็นเวลา 1 ชั่วโมงยังไม่กลับมาผู้เสียหายที่ 7 จึงไปเอาเงินที่บ้านด้วยตนเอง ต่อมาจำเลยกลับมายังบ้านที่เกิดเหตุพร้อมกับคนร้ายกดแตรรถจักรยานยนต์เป็นสัญญาณ และขานรับเมื่อผู้เสียหายที่ 1ถามชื่อผู้เสียหายที่ 1 จึงเปิดประตูเมื่อเห็นจำเลยกับคนร้ายผู้เสียหายที่ 1 จะปิดประตูแต่ปิดไม่ได้เพราะจำเลยใช้หัวรถจักรยานยนต์ดันเข้ามา จำเลยกับพวกเข้ามาในบ้านได้ คนร้ายได้บังคับผู้เสียหายทั้งเจ็ดและจำเลยนอนคว่ำ แล้วตรวจค้นเอาทรัพย์สินไป เว้นแต่จำเลยไม่ได้ถูกตรวจค้น พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับคนร้ายปล้นทรัพย์จริง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 3 คน ที่หลบหนี ซึ่งมีอาวุธปืนจำนวน 2 กระบอกติดตัว ร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งเจ็ดขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340, 340 ตรีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2524ข้อ 14, 15
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง, 83 จำคุก 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ มีคนร้าย 3 คนกับอาวุธปืน 2 กระบอก ติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์เอาทรัพย์สินต่าง ๆของผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 7 รวมราคาทรัพย์ทั้งสิ้น 109,700 บาทไปตามฟ้องจริง มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยได้ร่วมกับคนร้ายดังกล่าวปล้นทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีนายเฉี้ยงผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21.30 นาฬิกาผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 7 ได้ร่วมกันเล่นการพนันไพ่ป๊อกแปดป๊อกเก้าที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 โดยมีผู้เสียหายที่ 7 เป็นเจ้ามือจำเลยมากับผู้เสียหายที่ 7 ไม่ได้ร่วมเล่นการพนันแต่ทำหน้าที่เป็นหัวเบี้ยให้ผู้เสียหายที่ 7 ในระหว่างเล่นการพนันผู้เสียหายที่ 7 เสียการพนันเงินหมด ให้จำเลยไปเอาเงินมาให้ 5,000 บาทจำเลยได้ไปเอาเงินที่บ้านของผู้เสียหายที่ 7 มาให้ ต่อมาผู้เสียหายที่ 7 เสียการพนันเงินหมดอีกให้จำเลยไปเอาเงินมาให้อีก 7,000 บาทจำเลยไปเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แล้วยังไม่กลับมา ผู้เสียหายที่ 7จึงไปเอาเงินที่บ้านด้วยตนเอง ครั้นเวลา 00.30 นาฬิกา จำเลยได้กลับมาที่บ้านเกิดเหตุ กดแตรรถจักรยานยนต์เป็นสัญญาณ พยานได้ถามว่าจอมใช่ไหม จำเลยขานรับ พยานเปิดประตูรับให้ เห็นจำเลยนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์มีคน 2 คน ยืนอยู่ข้าง ๆ คนทั้งสองใช้ผ้าสีน้ำเงินเป็นถุงคลุมศีรษะและใบหน้าโดยเจาะช่องตรงตากับปากและยังมีอีกคนหนึ่งยืนอยู่ในเงามืดห่างจากจำเลยประมาณ 1 เมตรเศษไม่คลุมหน้า พยานคิดว่า คนเหล่านั้นเป็นโจรจะปิดประตู แต่ปิดไม่ได้เพราะจำเลยใช้หัวรถจักรยานยนต์ดันเข้ามาและชาย 2 คนที่คลุมศีรษะใช้มือดันประตูไว้ จำเลยช่วยดันประตูด้วย พยานทานแรงไม่ไหวถูกดันกระเด็นออกมา 1 เมตร จำเลยกับพวกเข้ามาในบ้านได้ คนร้ายได้บังคับให้ผู้เสียหายทั้งหมดและจำเลยนอนคว่ำแล้วตรวจค้นเอาทรัพย์สินไปเว้นแต่จำเลยไม่ได้ถูกตรวจค้น นอกจากนี้โจทก์มีผู้เสียหายที่ 2 ถึงที่ 6 เบิกความสนับสนุนพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน ทั้งไม่มีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อนที่จะฟังว่าเบิกความปรักปรำจำเลยให้รับโทษ จำเลยนำสืบว่าถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้บังคับมิให้ส่งเสียงดัง ขณะเดียวกันผู้เสียหายที่ 1 ได้เปิดประตูบ้าน คนร้ายจึงผลักเข้าไป ในข้อนี้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียวไม่มีพยานอื่นสนับสนุนฟังหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ หากจำเลยถูกคนร้ายใช้ปืนจี้บังคับจริงผู้เสียหายที่ 1 คงเห็นและคนร้ายน่าจะใช้ปืนดังกล่าวจี้บังคับผู้เสียหายที่ 1 มิให้ปิดประตูที่เปิดแง้มไว้ด้วย ซึ่งจะทำให้คนร้ายไม่ต้องเสียเวลาดันประตูอีก แต่คนร้ายก็หาได้ใช้อาวุธปืนจี้บังคับผู้เสียหายที่ 1 ในขณะนั้นไม่ แสดงว่าในช่วงเวลานั้นคนร้ายไม่ได้ใช้อาวุธปืนจี้บังคับจำเลยดังที่จำเลยต่อสู้ ส่วนคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 7 ที่เบิกความว่า เมื่อผู้เสียหายที่ 1เปิดประตูบ้านแล้วจำเลยได้เข็นรถจักรยานยนต์เข้ามาในบ้านในขณะเดียวกันคนร้ายก็ตามเข้ามา ผู้เสียหายที่ 1 ปิดประตูไม่ได้เพราะขณะนั้นส่วนหัวของรถจักรยานยนต์ล้ำเข้ามาข้างในบ้านแล้วเห็นว่า ผู้เสียหายที่ 7 แม้จะถูกปล้นทรัพย์ด้วย แต่ก็สนิทชิดชอบกับจำเลยเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้จากการที่ให้จำเลยเป็นหัวเบี้ยมีหน้าที่รับจ่ายเงินและไว้วางใจให้จำเลยไปเอาเงินมาให้จำนวนมากถึงสองครั้ง คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 7 น่าจะเป็นการช่วยเหลือจำเลยมิให้ต้องรับโทษ รับฟังไม่ได้ จำเลยนำสืบอีกประการหนึ่งว่าขณะที่จำเลยถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้บังคับ คนร้ายได้เข้ามาค้นตัวได้เงินไป 500 บาท คงมีแต่จำเลยเบิกความไม่มีพยานอื่นสนับสนุนหากเหตุการณ์เป็นดังที่จำเลยนำสืบ หลังจากคนร้ายปล้นทรัพย์แล้วร้อยตำรวจเอกอุดม สุขแก้ว และร้อยตำรวจโทชลิต แก้วยะรัตน์ ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุ จำเลยน่าจะแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวทราบว่าถูกคนร้ายปล้นทรัพย์ด้วย แต่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองไม่ได้เบิกความถึงเรื่องนี้ เชื่อว่าจำเลยไม่ได้ถูกคนร้ายปล้นทรัพย์จริงและเป็นข้อบ่งชี้อีกประการหนึ่งว่าคนร้ายเป็นพวกของจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับคนร้ายปล้นทรัพย์จริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามา ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ เป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.