แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การมาศาล ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยไม่ได้แถลงข้อความอะไร เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จ จำเลยมีสิทธิอ้างตนเองเบิกความเป็นพยาน แม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยหาจำต้องยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 แต่อย่างใดไม่ เพราะเป็นการสืบพยานตามที่กฎหมายบัญญัติอนุญาตให้จำเลย ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การมาศาลและศาลไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ สาบานตนให้การเป็นพยานเองได้คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบเฉพาะที่จำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยาน จึงเป็นคำสั่งและการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบไม่ได้ปฏิบัติ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐานแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อนี้ขึ้นมาก็ตาม ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งและ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นเสียได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วย มาตรา247 ในวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การอ้างว่าจำเลยเพิ่งทราบเรื่องมีการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องเมื่อศาลมีหมายแจ้งนัดสืบพยานโจทก์ไปให้ทราบการขอยื่นคำให้การของจำเลย จึงเป็นการร้องขอเมื่อเสร็จการพิจารณาแล้วก่อนมีคำพิพากษา กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่จำเลยอ้างต่อศาลว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อเริ่มต้นสืบพยานหรือแจ้งให้ศาลทราบก่อนเริ่มสืบพยานดังที่ บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 ที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนางเป นางเปมีที่นา 1 แปลง และได้สามีใหม่ชื่อนายโหง่ย จำเลยเป็นบุตรนายโหง่ย นางเป เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2498นางเปให้นายโหง่ยแจ้งการครอบครองที่ดิน โจทก์จำเลย และมารดาได้ร่วมกันทำกินในที่ดินดังกล่าวจนกระทั่งโจทก์ได้สามีแยกไปอยู่กับสามี จำเลยคงครอบครองที่นาแทนโจทก์ มารดาโจทก์จำเลยตายมาประมาณ 20 กว่าปีแล้ว โจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยเป็นฝ่ายทำนาไปก่อน ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยไปขอให้เจ้าพนักงานออกโฉนดที่ดินเอาเป็นของตนผู้เดียว โจทก์จึงขอมีชื่อในฐานะเจ้าของร่วมและขอแบ่งส่วน จำเลยปฏิเสธ ขอให้พิพากษาแบ่งที่ดินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งหากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นสิทธิของโจทก์ในเนื้อที่ครึ่งหนึ่งให้จำเลยแบ่งส่งมอบการครอบครองให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เหตุที่จำเลยอ้างในคำร้องขอยื่นคำให้การ นับได้ว่าเป็นเหตุที่สมควร ที่ศาลชั้นต้นงดไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลย โดยเห็นว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การเป็นการไม่ชอบ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ขออนุญาตยื่นคำให้การ และมีคำสั่งในเรื่องนี้แล้วทำการพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การมาศาลศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยไม่ได้แถลงข้อความอะไร แต่เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จ จำเลยแถลงขอสืบพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า แม้จำเลยจะมีสิทธิอ้างตนเองเบิกความ เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานจึงไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 4 พฤษภาคม 2526 ให้วันเดียวกันนั้น จำเลยจึงยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ โดยอ้างว่าระหว่างมีการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องนั้น จำเลยไปต่างจังหวัด จำเลยเพิ่งทราบเรื่องเมื่อศาลมีหมายแจ้งนัดสืบพยานโจทก์ไปให้ทราบ การขอยื่นคำให้การของจำเลยจึงเป็นการร้องขอเมื่อเสร็จการพิจารณาแล้วก่อนมีคำพิพากษา กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่จำเลยอ้างต่อศาลว่า ไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การเมื่อเริ่มต้นสืบพยานหรือแจ้งให้ศาลทราบก่อนเริ่มสืบพยานดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 แม้เหตุตามคำร้องของจำเลยจะเป็นเหตุที่สมควรเพียงใด ก็ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวต่อไป แต่ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยาน เมื่อศาลทำการสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว โดยอ้างว่าจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 วรรคสอง กรณีเช่นนี้ จำเลยหาจำต้องยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แต่อย่างใดไม่ เพราะเป็นการสืบพยานตามที่กฎหมายบัญญัติอนุญาตให้จำเลยซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การมาศาล และศาลไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การสาบานตนให้การเป็นพยานเองได้คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบเฉพาะที่จำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยาน จึงเป็นคำสั่งและการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหานี้ขึ้นมาก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งและการดำเนินการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบตัวจำเลยแล้วพิพากษาใหม่