แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การปฏิบัติงานของผู้นำร่องตามกฎกระทรวงเศรษฐการว่าด้วยการนำร่องออกตามความในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยแก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2477 (ฉบับที่ 2) ข้อ 85 ต้องเป็นไปตามที่ปฏิบัติกันในหน่วยราชการทั่ว ๆ ไป โดยงานที่ปฏิบัติย่อมแตกต่างกันไปแล้วแต่ตำหน่งหน้าที่ซึ่งอาจจะเป็นงานด้านเทคนิคอันเป็นวิชาชีพพิเศษได้แก่ การนำร่องเรือ และงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย มิใช่ว่าจะทำเฉพาะหน้าที่นำร่องเรือเพียงอย่างเดียวโดยถือการมาปฏิบัติงาน คือ การมา ณ ที่ทำการตามวันเวลาราชการ เป็นการมาปฏิบัติหน้าที่ดังจะเห็นได้ว่ากฎกระทรวงดังกล่าว ใช้คำว่า “มาปฏิบัติหน้าที่” มิได้ใช้คำว่า “ได้ปฏิบัติหน้าที่นำร่องเรือ”
จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการนำร่องและในฐานะหัวหน้าผู้นำร่องตลอดเวลา ไม่ปรากฏว่าได้ลาหยุดหรือไม่มาปฏิบัติหน้าที่ แม้มิได้นำร่องเรือเกินสิบวันในแต่ละเดือน ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งเดือน ตามกฎกระทรวงเศรษฐการฯ ข้อ 85 วรรค 2 (1) จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเฉลี่ยเงินค่าจ้างนำร่องที่ให้แก่ผู้นำร่องตามกฎกระทรวง ฯ ดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและเป็นผู้นำร่องอาวุโสจำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งผู้อำนวยการ กองกองนำร่องและเป็นผู้นำร่องอาวุโส ทั้งโจทก์จำเลยมีรายได้จากการปฏิบัติหน้าที่ คือเงินเดือนและเงินค่าจ้างนำร่องล่วงเวลา ตั้งแต่จำเลยรับหน้าที่ผู้อำนวยการกอง กองนำร่อง จำเลยไม่เข้าเวรในกิจการนำร่องเพื่อทำหน้าที่นำร่องเรือ บางเดือนยอมปฏิบัติหน้าที่ผู้นำร่องเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ถือว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่เกิน ๑๐ วัน ต้องถูกตัดเงินเดือนค่าจ้างล่วงเวลาทั้งหมด แต่จำเลยได้จ่ายเงินค่าล่วงเวลาให้ตนเองเฉลี่ยเท่ากับผู้นำร่องคนอื่นที่เข้าเวรนำร่องสม่ำเสมอ และปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งเดือน ทำให้โจทก์และผู้นำร่องอื่นได้ส่วนเฉลี่ยน้อยกว่าที่ควรได้รับ เป็นการเบียดบังส่วนของโจทก์ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๒๑ ถึง เดือนกรกฎาคม ๒๕๒๗ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๔,๖๕๗.๓๘ บาท ขอให้จำเลยเลิกหรือระงับการการคิดแบ่งเฉลี่ยจ่ายเงินค่าจ้างนำร่องล่วงเวลาตามวิธีที่จำเลยกระทำ ให้จำเลยใช้เงิน ๑๑๔,๖๕๗.๓๘ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ผู้อำนวยการในฐานะหัวหน้าพนักงานนำร่อง ไม่จำต้องเข้าเวรการนำร่องและได้ปฏิบัติกันมาไม่น้อยกว่าตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ โจทก์ไม่ได้คัดค้านประการใดโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การปฏิบัติหน้าที่นำร่องไม่จำต้องปฏิบัติหน้าที่ในเรือ การปฏิบัติหน้าที่หมายความว่าปฏิบัติหน้าที่ในกิจการนำร่องทั้งหมด จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ในกิจการนำร่องสม่ำเสมอ แม้จะมิได้ปฏิบัติการนำร่องในเรือก็ตาม บัญชีการแบ่งเฉลี่ยการนำร่องที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้อง จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเพียงว่า การที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการนำร่องและในฐานะหัวหน้าผู้นำร่อง แต่ไม่ได้นำร่องเรือเกิน ๑๐ วัน ในแต่ละเดือนตามกฎกระทรวงข้อ ๘๕ ถือว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้นำร่องอันมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเฉลี่ยหรือไม่ โดยถือเป็นข้อแพ้ชนะกันปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๗
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้คืนเงินจำนวน ๑๑๔,๖๕๗.๓๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงจากท้องสำนวนว่า ในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๗ อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน ศาลได้จดรายงานกระบวนพิจารณาว่า ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงยอมรับในประเด็นอื่นทั้งหมด เหลือข้อโต้เถียงเพียงประเด็นเดียว คือ การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้อำนวยการนำร่องและเป็นหัวหน้าผู้นำร่อง ถือว่าเป็นผู้นำร่องตามกฎกระทรวงเศรษฐการว่าด้วยการนำร่องออกตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือน่านน้ำไทย แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) หรือไม่ โดยจำเลยยอมรับว่า โจทก์เป็นผู้นำร่องตามฟ้อง โจทก์ยอมรับว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการตลอดเวลา และในฐานะหัวหน้าผู้นำร่องแต่ไม่ได้นำร่องเรือเกิน ๑๐ วันในแต่เดือนตามกฎกระทรวงฯ ข้อ ๘๕ เท่านั้น จำเลยถือว่าได้ปฏิบัติครบถ้วนตามข้อ ๘๕ แล้ว เมื่อเหลือข้อโต้แย้งเพียงประเด็นเดียว คู่ความจึงขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายข้อ ๘๕ ว่า การกระทำของจำเลยถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ที่จะได้รับส่วนแบ่งหรือไม่ ถ้าถือว่าปฏิบัติหน้าที่โจทก์ยอมแพ้ ถ้าไม่ถือว่าปฏิบัติหน้าที่จำเลยยอมแพ้ต้องชดใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง ส่วนข้อต่อสู้หรือคำขออื่น ๆ ทั้งสองฝ่ายยอมสละ
พิเคราะห์แล้ว กฎกระทรวงเศรษฐการ ว่าด้วยการนำร่องออกตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) ข้อ ๘๕ วรรคหนึ่งบัญญัติว่า เงินค่าจ้างนำร่องที่เก็บได้ทั้งหมดตามกฎกระทรวงนี้ให้แบ่งจ่ายให้แก่ผู้นำร่อง ดังนี้ คือ ให้ผู้นำร่องได้รับเงินค่าจ้างนำร่องล่วงเวลาที่เก็บตามข้อ ๗๘ ทั้งหมด และรวมกับอีกร้อยละสิบสองของค่าจ้างนำร่องตามพิกัดทั้งหมดแต่ไม่เกินปีละล้านแปดแสนบาท ส่วนที่เหลือให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ วรรคสองบัญญัติว่าเงินค่าจ้างนำร่องที่แบ่งจ่ายให้แก่ผู้นำร่องตามวรรคหนึ่ง ให้แบ่งเฉลี่ยจ่ายเดือนละครั้งตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้นำร่องที่มาปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งเดือนให้ได้รับค่าจ้างนำร่องเท่ากับ เงินค่าจ้างนำร่องล่วงเวลาที่เก็บตามข้อ ๗๘ ทั้งหมดในเดือนนั้น และรวมกับอีกร้อยละสิบสองของค่าจ้างนำร่องตามพิกัดทั้งหมดที่เก็บได้ในเดือนนั้นหารด้วยจำนวนผู้นำร่องทั้งหมด ซึ่งเป็นอัตราแบ่งเฉลี่ยตามปกติกับบวกด้วยเงินทั้งหมดที่ตัดออกจากเงินค่าจ้างนำร่องของผู้นำร่องที่ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ในเดือนนั้นรวมกัน และหารด้วยจำนวนผู้นำร่องที่มาปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งเดือน
(๒) ผู้นำร่องที่ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งเดือน ในเดือนใด ให้ตัดเงินค่าจ้างนำร่องจากอัตราแบ่งเฉลี่ยตามปกติ ดังนี้ ถ้าไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ห้าวัน ให้ตัดร้อยละสิบสองของอัตราแบ่งเฉลี่ยตามปกติ….ถ้าไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่เกินสิบวัน ให้ตัดเงินค่าจ้างนำร่องทั้งหมด
ฉะนั้น ผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินส่วนแบ่งเฉลี่ยประจำเดือนจะต้องเป็นผู้นำร่องประการหนึ่ง และได้มาปฏิบัติหน้าที่ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้อีกด้วย โดยถ้ามิได้มาปฏิบัติหน้าที่เกินสิบวันในเดือนนั้นก็จะถูกตัดมิให้ได้รับเงินค่าจ้างนำร่องเลย สำหรับจำเลยนี้ข้อเท็จจริงรับกันแล้วว่า จำเลยเป็นผู้นำร่องโดยเป็นหัวหน้านำร่อง ผู้อำนวยการนำร่อง ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยได้มาปฏิบัติหน้าที่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับเงินส่วนแบ่งหรือไม่ คู่ความรับข้อเท็จจริงกันว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการนำร่องตลอดเวลา และในฐานะหัวหน้าผู้นำร่องแต่จำเลยมิได้นำร่องเรือเกินสิบวันในแต่ละเดือน จึงมีปัญหาว่า “มาปฏิบัติหน้าที่” มีความหมายเฉพาะหน้าที่นำร่องเรือเท่านั้น หรือหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการนำร่องและในฐานะหัวหน้าผู้นำร่องด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า เกี่ยวกับการนำร่องมีกฎหมายเกี่ยวข้องด้วยหลายฉบับ กล่าวคือ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม พ.ศ.๒๕๑๗ และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๑๘ รวมตลอดถึงกฎกระทรวงและระเบียบแบบแผนที่ออกโดยอาศัยกฎหมายต่าง ๆ เหล่านั้นด้วยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยแก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) มาตรา ๔ บัญญัติว่า การนำร่องนั้นให้อยู่ในอำนาจและความควบคุมของรัฐบาลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่กรมเจ้าท่าสังกัดเป็นเจ้าหน้าที่ รักษาการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้และเพื่อการนั้น ให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงในเรื่องต่อไปนี้ (๑) กำหนดคุณสมบัติผู้นำร่องและผู้ฝึกการนำร่อง กำหนดชั้นความรู้ผู้นำร่อง วิธีการที่จะสอบความรู้และออกใบอนุญาตแก่ผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตเป็นผู้นำร่อง (๒) กำหนดหน้าที่และมารยาทของผู้นำร่อง….(๔) กำหนดค่าธรรมเนียมสอบไล่ผู้นำร่อง (๕) กำหนดวิธีการเก็บและแบ่งเงินผลประโยชน์ที่ได้มาเนื่องในการนำร่อง….(๖) กำหนดเขตท่าหรือน่านน้ำใด ๆ ให้มีการนำร่องโดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลหรือของเทศบาล หรือหุ้นส่วนบริษัท….(๗) กำหนดเขตท่าหรือน่านน้ำใดซึ่งบังคับให้เป็นเขตที่ต้องเดินเรือโดยมีผู้นำร่อง…..(๘) กำหนดขนาดเรือที่จะต้องเสียค่าจ้างนำร่อง…..(๙) กำหนดการลงทัณฑ์ ซึ่งต่อมาได้มีกฎกระทรวงเศรษฐการว่าด้วยการนำร่องออกตามความในบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นว่าด้วยเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นทั้งหมด ส่วนพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม พ.ศ.๒๕๑๗ มาตรา ๔ ให้แบ่งส่วนราชการกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม โดยระบุให้มีกองนำร่องอยู่ด้วย นอกจากนี้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๓๓ บัญญัติว่า ให้ ก.พ. จัดทำมาตรฐานกำหนดตำแหน่งไว้เป็นบรรทัดฐาน และ ก.พ.ได้กำหนดตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบของพนักงานนำร่องไว้ ฉะนั้นตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้นำร่องมีชื่อตำแหน่งทางราชการว่าเจ้าพนักงานนำร่องเป็นข้าราชการพลเรือนของกองนำร่อง กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม การปฏบัติงานของผู้นำร่องจึงต้องเป็นไปตามที่ปฏิบัติกันในหน่วยราชการทั่ว ๆ ไป โดยงานที่ปฏิบัติย่อมแตกต่างกันไป แล้วแต่ตำแหน่งหน้าที่ซึ่งอาจจะเป็นงานด้านเทคนิค อันเป็นวิชาชีพพิเศษได้แก่การนำร่องเรือและงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย มิใช่ว่าจะทำเฉพาะหน้าที่นำร่องเรือเพียงอย่างเดียว โดยถือว่าการมาปฏิบัติงานคือการมา ณ ที่ทำการตามวันเวลาราชการ เป็นการมาปฏิบัติหน้าที่และการไม่มาปฏิบัติหน้าที่อาจมีการลาดังที่บัญญัติไว้ในข้อ ๒๐ – ๒๓ ดังจะเห็นได้ว่าข้อ ๘๕ ใช้คำว่า “มาปฏิบัติหน้าที่” มิได้ใช้คำว่า “ได้ปฏิบัติหน้าที่นำร่องเรือ” แม้กฎกระทรวงเศรษฐการว่าด้วยการนำร่อง ออกตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) ได้กำหนดไว้ในหมวด ๓ มรรยาทและหน้าที่ผู้นำร่อง ในข้อ ๑๙ – ๕๑ ก็มิได้กำหนดว่าการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำร่องจะมีเพียงการนำร่องเรืออย่างเดียว ดังจะเห็นได้ว่า ข้อ ๑๙ – ๒๘ กำหนดหน้าที่อันมีลักษณะเป็นมรรยาท คุณธรรมหรือสิ่งที่ควรปฏิบัติทั่ว ๆ ไป ข้อ ๓๑ -๓๗ หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในการนำร่องเรือโดยเฉพาะและยังมีกำหนดหน้าที่อื่น ๆ อันมิใช่การนำร่องเรือโดยเฉพาะอีก คือ ๒๙ หน้าที่ต้องรีบเดินทางไปรับเรือ ข้อ ๓๐ ต้องชักธงบนเรือผู้นำร่อง ข้อ ๓๘ หน้าที่ตักเตือนนายเรือ ข้อ ๓๙ หน้าที่ระวังมิให้เรือลำใดทำการหยั่งน้ำ ข้อ ๔๒ หน้าที่แจ้งให้เจ้าท่าทราบเมื่อพบทุ่นที่ทอดเป็นเครื่องหมายทุ่นเคลื่อนจากที่ ๆ เคยทอดอยู่ตามปกติ ข้อ ๔๓ หน้าที่รายงานเจ้าท่าเมื่อสังเกตเห็นสิ่งกีดขวางหรือมีการเปลี่ยนแปลงในร่องน้ำ และข้อ ๔๘ – ๕๑ หน้าที่ในการรายงานเรื่องต่าง ๆ ซึ่งหน้าที่เหล่านี้ผู้นำร่องอาจปฏิบัตินอกเวลานำร่องเรือได้เป็นการสนับสนุนข้อที่ว่า ผู้นำร่องยังมีหน้าที่อื่น ๆ อีกนอกเหนือจากการนำร่องเรือ ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงที่ยอมรับตามคำท้าว่า จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการนำร่องและในฐานะหัวหน้าผู้นำร่องตลอดเวลา ไม่ปรากฏว่าได้ลาหยุดหรือไม่มาปฏิบัติหน้าที่ แม้มิได้นำร่องหรือเกินสิบวันในแต่ละเดือน ก็เป็นการมาปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งเดือนตามข้อ ๘๕ วรรคสอง (๑) จำเลยมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเฉลี่ยตามนั้น ไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้มิได้มาปฏิบัติหน้าที่เกินสิบวัน อันจะต้องถูกตัดเงินส่วนแบ่งทั้งหมดตามข้อ ๘๕ วรรคสอง (๒) ตอนท้ายแต่อย่างไร โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์