คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2291/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้จำเลยโอนขายที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 105 ให้โจทก์ ความปรากฏในชั้นบังคับคดีว่าโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนขายที่ดินพิพาทโดยบรรยายฟ้องระบุเลขที่ของ น.ส.3 ผิดพลาดไป ความจริงที่ดินพิพาทที่โจทก์บังคับให้จำเลยขายคือที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 195 ดังนี้ศาลย่อมบังคับให้จำเลยขายที่ดินพิพาทตามฟ้องซึ่งมี น.ส.3 เลขที่ที่ถูกต้องได้ ไม่เป็นการบังคับคดีนอกเหนือไปจากคำพิพากษา และไม่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาในส่วนที่เป็นสาระสำคัญอันเป็นผลทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 323/2512)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยขายที่ดิน น.ส. ๓ เล่มที่ ๒๙ สารบบเล่มที่ ๑๐๕ เนื้อที่ ๔๘ ไร่ ๑ งาน ๒๗ ตารางวา อยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี ที่พิพาทกันให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ จำเลยรับคำบังคับแล้วไม่ปฏิบัติตามศาลชั้นต้นจึงมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองสุพรรณบุรีให้จดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าวให้โจทก์ ต่อมานายอำเภอเมืองสุพรรณบุรีมีหนังสือแจ้งศาลว่าสารบบที่ดินหมายเลขดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของจำเลย จึงทำการโอนที่ดินให้แก่โจทก์ไม่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทมีแปลงเดียว เลขที่ดินที่ถูกต้องเป็นเลขที่ ๑๙๕แต่ตามคำพิพากษาศาลฎีการะบุว่าเลขที่ดิน ๑๐๕ ส่วนรายการอื่นใน น.ส.๓ ตรงตามที่ศาลแจ้งไป น.ส.๓ เลขที่ ๑๐๕ เป็นของ ย. ส่วนเลขที่ ๑๙๕ เป็นของจำเลยกับ ช. เนื้อที่ ๔๘ ไร่เศษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้จำเลยโอนที่ดิน น.ส.๓ สารบบเลขที่ ๑๙๕ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เนื้อที่ ๔๘ ไร่เศษให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินของจำเลยเนื้อที่ ๔๘ ไร่ ๑ งาน ๒๗ ตารางวา อยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยมิได้ปฏิเสธว่าไม่ได้ขายที่ดินดังกล่าวทั้งจำเลยมีที่ดินแปลงเดียวคือแปลงที่ขายให้โจทก์ และตามคำร้องของจำเลยได้ความว่าจำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาเพื่อขายให้โจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองสุพรรณบุรีเป็นการยอมรับว่าที่ดินเนื้อที่ ๔๘ ไร่ ๑ งาน ๒๗ ตารางวา อยู่หมู่ที่ ๔ ตำบลตลิ่งชันอำเภอเมืองสุพรรณบุรี เป็นของจำเลยและได้ขายให้แก่โจทก์ตามฟ้อง และปรากฏว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) เลขที่ ๑๙๕ ที่นายอำเภอเมืองสุพรรณบุรีส่งมาศาลระบุจำนวนเนื้อที่ ที่ตั้งของที่ดินและอื่น ๆ ตรงกับคำฟ้องของโจทก์และคำพิพากษาของศาล เว้นแต่เลขที่ของ น.ส.๓ เท่านั้นที่ผิดไป ทั้งใบยอมความตามเอกสารหมาย ล.๑ ก็ระบุว่าที่ดินที่จำเลยโอนขายให้แก่โจทก์เป็นที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๑๙๕ ส่วนที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๑๐๕ ไม่ใช่ที่ดินของจำเลยและมีเนื้อที่ไม่ตรงกับที่ดินพิพาท เห็นได้ชัดว่าโจทก์บรรยายฟ้องโดยระบุเลขที่ของ น.ส.๓ ผิดพลาดไปความจริงที่ดินพิพาทที่โจทก์บังคับให้จำเลยขายคือที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๑๙๕ นั่นเองดังนั้นศาลย่อมบังคับให้จำเลยขายที่ดินพิพาทตามฟ้องซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๑๙๕ ที่ถูกต้องได้ ไม่เป็นการบังคับคดีนอกเหนือไปจากคำพิพากษาและไม่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาในส่วนที่เป็นสาระสำคัญอันเป็นผลทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๓/๒๕๑๒
พิพากษา

Share