คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 408/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

สัญญาจะซื้อจะขายไม่ได้มีข้อตกลงว่าจำเลยจะสร้างบ้านให้แล้วเสร็จเมื่อใดทั้งโจทก์และนางสาว ส. ซึ่งลงชื่อเป็นพยานในสัญญาจะซื้อจะขายและเป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับจำเลยในโครงการเดียวกันกับโจทก์เบิกความเพียงว่า โครงการจะสร้างเสร็จภายในปลายปี 2540 จึงยังไม่พอถือได้ว่าสัญญาจะซื้อจะขายมีกำหนดเวลาสร้างบ้านให้แล้วเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ระบุว่าผู้จะขายจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้จะซื้อเมื่อผู้จะซื้อได้ชำระเงินดาวน์ให้ผู้จะขายครบถ้วน สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาไว้โดยปริยายนั้น ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน และโจทก์ได้ชำระเงินค่างวดให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยย่อมมีหน้าที่สร้างบ้านและส่งมอบให้โจทก์ตามสัญญา และถึงแม้สัญญาดังกล่าวจะไม่ได้กำหนดระยะเวลาการปลูกสร้างบ้านให้แล้วเสร็จไว้โดยชัดเจนก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจำเลยจะสร้างบ้านให้แล้วเสร็จเมื่อใดก็ได้แล้วแต่ความพอใจของจำเลย เมื่อโจทก์ชำระเงินตามงวดให้จำเลยไปแล้ว 220,300 บาท ทั้งได้มีหนังสือบอกกล่าวถึงจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาและชำระหนี้จนถึงวันที่โจทก์มีหนังสือขอให้บฏิบัติตามสัญญาและชำระหนี้ไปยังจำเลยครั้งสุดท้ายนับเป็นเวลา 5 ปีเศษ จำเลยยังไม่สามารถก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ซึ่งการบอกกล่าวให้จำเลยดำเนินการภายในกำหนด 15 วัน มิเช่นนั้นให้คืนเงินที่ชำระไปแล้ว พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นับจากเวลาดังกล่าว ในกรณีนี้ต้องนับว่าเป็นระยะเวลาอันสมควรแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2538 โจทก์ตกลงซื้อที่ดินเนื้อที่จำนวน 20 ตารางวา พร้อมบ้านพักอาศัยแบบทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น 1 หลัง ในโครงการดังกล่าวจากจำเลย ราคา 829,000 บาท โจทก์ชำระค่างวดถึงงวดที่ 9 แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการปลูกสร้างบ้านตามสัญญา และหยุดก่อสร้างบ้านลง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 475,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 420,300 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 220,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 15 กันยนยน 2543 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 มีนาคม 2544) ต้องไม่เกิน 55,075 บาท ตามที่โจทก์ขอ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยและเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการก่อหนี้ที่จำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยไม่ได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การ ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาในทำนองว่า สัญญาที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน การบอกเลิกสัญญาต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 แต่โจทก์ให้เวลาจำเลยเพียง 15 วัน ถือว่าระยะเวลาไม่พอเพียงที่จะดำเนินการตามสัญญาได้นั้น เห็นว่า สัญญาจะซื้อจะขายไม่ได้มีข้อตกลงว่าจำเลยจะสร้างบ้างให้แล้วเสร็จเมื่อใด แม้โจทก์อาจนำสืบให้เห็นถึงข้อตกลงต่างหากจากสัญญาเพื่อให้ชัดเจนและเพื่อให้คู่สัญญาปฏิบัติตามกำหนดระยะเวลาในสัญญาได้ โดยไม่ถือเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือเพิ่มเติมเอกสาร แต่โจทก์ก็ไม่ได้กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า มีข้อตกลงว่าจำเลยจะสร้างบ้านให้แล้วเสร็จเมื่อใด ทั้งโจทก์และนางสกุณา พยานโจทก์ซึ่งลงชื่อเป็นพยานในสัญญาจะซื้อจะขาย และเป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับจำเลยในโครงการเดียวกันกับโจทก์เช่นเดียวกันได้เบิกความเพียงว่า โครงการจะสร้างเสร็จภายในปลายปี 2540 จึงยังไม่พอถือได้ว่า สัญญาจะซื้อจะขายมีกำหนดเวลาสร้างบ้านให้แล้วเสร็จ ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ระบุว่าผู้จะขายจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้จะซื้อเมื่อผู้จะซื้อได้ชำระเงินดาวน์ให้ผู้จะขายครบถ้วน สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาไว้โดยปริยายนั้น ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อย่างไรก็ดี เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน และโจทก์ได้ชำระเงินค่างวดให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยย่อมมีหน้าที่สร้างบ้านและส่งมอบให้โจทก์ตามสัญญา และถึงแม้สัญญาดังกล่าวจะไม่ได้กำหนดระยะเวลาการปลูกสร้างบ้านให้แล้วเสร็จไว้โดยชัดเจนก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจำเลยจะสร้างบ้านให้เสร้จเมื่อใดก็ได้แล้วแต่ความพอใจของจำเลย คดีนี้โจทก์ชำระเงินตามงวดให้จำเลยไปแล้ว 220,300 บาท โดยงวดหลังสุดชำระเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2540 แต่นับจากวันทำสัญญาคือวันที่ 1 พฤษภาคม 2538 ต่อมาวันที่ 15 สิงหาคม 2543 โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวถึงจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาและชำระหนี้จนถึงวันที่โจทก์มีหนังสือขอให้ปฏิบัติตามสัญญาและชำระหนี้ไปยังจำเลยครั้งสุดท้ายคือวันที่ 11 ตุลาคม 2543 นับเป็นเวลา 5 ปีเศษ จำเลยยังไม่สามารถก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ซึ่งการบอกกล่าวให้จำเลยดำเนินการภายในกำหนด 15 วัน มิเช่นนั้นให้คืนเงินที่ชำระไปแล้วพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นับจากเวลาดังกล่าว ในกรณีนี้ ต้องนับว่าเป็นระยะเวลาอันสมควรแล้วที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share