คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 402/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่บ้านพิพาทปลูกสร้างอยู่บนที่ดินราชพัสดุซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลัง จำเลยทั้งสองจึงเป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองทำสัญญาขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยได้รับค่าตอบแทนจากโจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้สละการครอบครองที่ดินและบ้านดังกล่าวโดยโอนการครอบครองให้แก่โจทก์แล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 และมาตรา 1378 จำเลยทั้งสองยังยอมรับสิทธิของโจทก์โดยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ไว้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินและบ้านแทนโจทก์โดยอาศัยสิทธิสัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์ เท่ากับยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินและบ้านดีกว่าจำเลยทั้งสอง เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าและโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินและบ้านอีกต่อไป จำเลยทั้งสองจึงต้องออกไป โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 381 ถนนสุขาสงเคราะห์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี แล้วส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพดีดังเดิม และชำระค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท แก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะออกไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่เคยขายและส่งมอบบ้านและที่ดินตามฟ้องให้โจทก์เข้าครอบครอง หนังสือสัญญาซื้อขายเป็นเอกสารปลอม จำเลยทั้งสองไม่เคยทำหนังสือสัญญาเช่าบ้านกับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาท ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 24 พฤษภาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ว่าหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง เป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสองไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตามกฎหมายดังบัญญัติไว้ในมาตรา 456 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่บ้านเลขที่ 381 ถนนสุขาสงเคราะห์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินราชพัสดุ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลัง ฉะนั้นจำเลยทั้งสองจึงเป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินและบ้านที่ปลูกสร้างอยู่เท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองทำสัญญาขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์ และส่งมอบการครอบครองที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์โดยรับค่าตอบแทนจากโจทก์ไป จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองสละการครอบครองที่ดินและบ้านดังกล่าวโดยโอนการครอบครองให้แก่โจทก์ไปแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และมาตรา 1378 ทั้งเมื่อจำเลยทั้งสองสละและโอนการครอบครองที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองยังยอมรับสิทธิของโจทก์โดยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ไว้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าการที่จำเลยทั้งสองยังคงอยู่ในที่ดินและบ้านที่โอนขายให้โจทก์แล้วนั้น เป็นการยึดถือครอบครองที่ดินและบ้านแทนโจทก์โดยอาศัยสิทธิสัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์ เท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินและบ้านดีกว่าจำเลยทั้งสองนั่นเอง เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าและโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินและบ้านอีกต่อไป จำเลยทั้งสองจึงต้องออกไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share