แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมฯ มาตรา 4 คำว่า เพลงดนตรีย่อมหมายถึงทำนองเพลง โดยมีคำร้องหรือเนื้อร้องหรือไม่ก็ได้ เมื่อโจทก์เป็นผู้ประพันธ์ทำนองบุคคลอื่นประพันธ์เนื้อร้องได้โอนลิขสิทธิ์ในฐานะผู้ประพันธ์เนื้อร้องให้โจทก์ โจทก์จึงมีลิขสิทธิ์ในเพลงดนตรีทั้งเนื้อร้องและทำนอง มีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้อื่นเล่นเพลงดนตรีนั้นแสดงต่อประชาชนและมีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้อื่นทำสำเนาจำลองโน๊ตหรือเนื้อร้องออกจำหน่าย เมื่อจำเลยได้นำเนื้อร้องไปพิมพ์จำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาต ย่อมละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ และถ้าพิมพ์โน๊ตออกจำหน่าย ก็จะเป็นละเมิดลิขสิทธิ์ในโน๊ตเพิ่มอีกโสดหนึ่ง
การบรรยายฟ้อง โจทก์ไม่จำต้องบรรยายโดยพิมพ์โน๊ตดนตรีมาในคำฟ้องด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ประพันธ์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แต่ผู้เดียว ซึ่งทำนองเพลง ๖๙ เพลง จำเลยเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ “มิตรหรรษา” ได้พิมพ์หนังสือเพลง ซึ่งมีเพลงของโจทก์เป็นผู้ประพันธ์ทำนองเพื่อขายหรือให้เช่าหรือแสดงออกต่อประชาชนทั่วไปเพื่อการค้ารวม ๙ ชนิด รวม ๒,๗๐๔ เล่ม เป็นเงิน ๑๐,๔๙๐ บาท โดยมิได้รับอนุญาตหรือได้รับความยินยอมจากโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ห้ามมิให้จำเลยนำบทเพลงไปจัดพิมพ์เพื่อจำหน่ายต่อประชาชนอีกต่อไป ให้พิพากษาว่าหนังสือเพลงทั้ง ๙ ชนิด รวม ๒,๗๐๔ เล่ม เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และให้จำเลยคืนให้โจทก์ ถ้าจำเลยคืนไม่ได้ ขอให้จำเลยใช้เงิน ๑๐,๔๙๐ บาท ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยพิมพ์หนังสือเพลงรวม ๙ ชนิดเพื่อขายจริง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยเป็นผู้มีสิทธิโดยซื้อจากผู้ประพันธ์ โจทก์มิได้ประพันธ์โจทก์สร้างสัญญาเท็จขึ้นเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย จึงขอให้ยกฟ้องโจทก์
ในวันชี้สองสถาน ทนายโจทก์แถลงว่า โจทก์ไม่ได้ประพันธ์เนื้อร้องเอง โจทก์ได้รับซื้อหรือรับโอนเนื้อร้องมาจากผู้ประพันธ์ และโจทก์มาประพันธ์ทำนองเพลงขึ้นทั้ง ๖๙ เพลงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ได้รับโอนสิทธิ์เนื้อร้องจากผู้ประพันธ์ โจทก์ย่อมได้ลิขสิทธิ์ในเนื้อร้อง จำเลยพิมพ์ขึ้นเพื่อขายโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ควรได้ค่าเสียหายจากรายได้หรือผลกำไรที่จำเลยจำหน่ายหนังสือเนื้อร้องของโจทก์ โจทก์เป็นเจ้าของวงดนตรี “สุนทราภรณ์” ซึ่งมีชื่อเสียงควรให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ๕,๐๐๐ บาท จึงพิพากษาห้ามมิให้จำเลยนำเนื้อร้องรายพิพาทไปจัดการพิมพ์เพื่อจำหน่ายซ้ำต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๕,๐๐๐ บาทให้แก่โจทก์
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคุลม โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรได้ ๓๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยจะต้องชดใช้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๘ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ. ๒๔๗๔ มาตรา ๔ ได้บัญญัติไว้ว่า วรรณกรรมและศิลปกรรมรวมถึงเพลงดนตรีมีคำร้องหรือไม่มี ฉะนั้น คำว่า เพลงดนตรี ย่อมหมายถึงทำนองเพลง โดยมีคำร้องหรือเนื้อร้องหรือไม่ก็ได้ เมื่อโจทก์เป็นผู้ประพันธ์ทำนองเพลงและบุคคลอื่นเป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้อง แต่บุคคลดังกล่าวได้โอนลิขสิทธิ์ในฐานะเป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในเพลงดนตรีรวมทั้งเนื้อร้องรายพิพาทด้วยแต่ผู้เดียว โจทก์ย่อมมีสิทธิ ๒ ประการคือ มีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้อื่นเล่นเพลงดนตรีของโจทก์ต่อประชาชนและมีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้อื่นนำสำเนาจำลองโน๊ตดนตรีหรือเนื้อร้องออกจำหน่าย สำหรับคดีนี้จำเลยได้นำเนื้อร้องที่โจทก์มีลิขสิทธิ์ไปพิมพ์จำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ย่อมละเมิดสิทธิของโจทก์แล้วโดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์โน๊ตดนตรีด้วย เพราะถ้าพิมพ์โน๊ตดนตรีของโจทก์ออกจำหน่ายด้วยแล้ว ก็จะเป็นละเมิดลิขสิทธิ์ในโน๊ตดนตรีเพิ่มขึ้นอีกโสดหนึ่ง
และเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ ๑ ว่า โจทก์เป็นผู้ประพันธ์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ซึ่งทำนองเพลงและในข้อที่ ๓ ได้บรรยายว่าจำเลยได้พิมพ์หนังสือเพลง ซึ่งมีเพลงของโจทก์เป็นผู้ประพันธ์ทำนอง หนังสือเพลงที่พนักงานสอบสวนยึดมาได้ มีเพลงที่โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ด้วย ย่อมเข้าใจข้อหาของโจทก์ทั้งหมดว่า โจทก์มีลิขสิทธิ์ในเพลงดนตรีหรือทำนองเพลงรวมทั้งเนื้อร้องด้วย จำเลยก็ให้การรับว่า จำเลยได้พิมพ์เนื้อร้องรายพิพาทจำหน่ายจริง จำเลยไม่หลงข้อต่อสู้อย่างไร และการที่โจทก์มีลิขสิทธิ์ในเพลงดนตรีหรือทำนองเพลงรวมทั้งเนื้อร้องด้วย โจทก์จะทำเพลงดนตรีหรือทำนองเพลงเป็นโน๊ตหรือรูปร่างอย่างไรไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้ และโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องโดยพิมพ์โน๊ตดนตรีมาในคำฟ้องด้วยฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และเมื่อฟ้องของโจทก์หมายถึงเพลงดนตรีหรือทำนองเพลงรวมทั้งเนื้อร้องด้วย การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในเนื้อร้องอันเป็นส่วนหนึ่งของเพลงดนตรีหรือทำนองเพลง จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ปัญหาที่ว่าโจทก์เสียหายเท่าใด โจทก์นำสืบว่า วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๕ โจทก์ได้ทำสัญญาขายเนื้อร้อง ๑๔๖ เพลง รวมทั้งเนื้อร้องรายพิพาท ๖๙ เพลงด้วยให้นายจรรยาเป็นจำนวนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท นายจรรยาได้วางมัดจำไว้ ๕,๐๐๐ บาท วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๐๕ นายจรรยาได้บอกเลิกสัญญาเพราะจำเลยได้พิมพ์เนื้อร้องของโจทก์ออกจำหน่ายเสียก่อน โจทก์จึงได้คืนเงินมัดจำให้นายจรรยาไป ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะเป็นความจริงตามที่โจทก์นำสืบดังกล่าวหรือไม่ก็ตามก็ปรากฏว่าใน พ.ศ. ๒๔๐๕ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บำรุงสาส์นได้พิมพ์เนื้อร้องของโจทก์รวมทั้งเนื้อร้องรายพิพาทด้วยโดยได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์จึงมิได้เสียหายเต็มจำนวนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท อย่างไรก็ดี หนังสือที่ฝ่ายโจทก์จัดพิมพ์จำหน่าย ๆ เล่มละ ๓๐ บาท จำเลยจัดพิมพ์จำหน่ายเล่มละ ๒ บาท ๕ บาท และ ๖ บาท โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ย่อมเสียหาย โจทก์เป็นเจ้าของวงดนตรี “สุนทราภรณ์” ที่มีชื่อเสียง จึงกำหนดให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน ๑๐,๐๐๐ บาท