คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4073/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า ขณะกระทำความผิดตนมีอายุเพียง 16 ปีเศษ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 โอนคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 ไปยังแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเพื่อพิจารณาพิพากษาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 15 และลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 75 เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 และมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15 การที่จำเลยที่ 2 ยังคงยกปัญหาข้อเดียวกันนั้นขึ้นฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้วินิจฉัยปัญหานั้น จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามนั่นเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (3) (4) (8), 134, 157, 160, 160 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 33 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสิบสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสิบสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (3) (4) (8), 134 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3, ที่ 5, ที่ 7, ที่ 9
และที่ 11 ถึงที่ 14 จะมีอายุระหว่าง 18 ปี ถึง 19 ปี ก็ตาม แต่การกระทำความผิดโดยแข่งรถในทางในลักษณะกีดขวางการจราจรน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น ทั้งยังสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชนโดยทั่วไป จึงไม่สมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือน จำเลยทั้งสิบสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้ลงโทษกักขังแทนโทษจำคุกนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ริบรถจักรยานยนต์ทั้งเก้าคันตามบัญชีของกลางท้ายฟ้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 8 และที่ 11 กับที่ 12 อุทธรณ์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า ขณะกระทำความผิดตนมีอายุเพียง 16 ปีเศษ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 โอนคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 ไปยังแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเพื่อพิจารณาพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 15 และลดโทษมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กลับพิพากษาเพียงว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เพียง 2 เดือนก่อนลดโทษ แม้ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ แต่ก็ให้ลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก จึงนับว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 เป็นอย่างมากแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข โดยมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 2 ขอให้โอนคดีไปพิจารณาพิพากษาในแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือที่เกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยนั้น เห็นได้ว่า เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว และมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การที่จำเลยที่ 2 ยังคงยกปัญหาข้อเดียวกันนั้นขึ้นฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้วินิจฉัยปัญหานั้น จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามนั่นเอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 2

Share