คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4071/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ได้รับทุนของสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนตัวโดยมิได้ผ่านทางหน่วยงานราชการ แม้จำเลยที่ 1 จะทำสัญญากับโจทก์ว่า หากจำเลยที่ 1 เสร็จการศึกษาแล้วไม่กลับมารับราชการหรือกลับมารับราชการเป็นเวลาน้อยกว่า 3 เท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือที่ได้รับเงินเดือน รวมทั้งเงินเพิ่มสุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากัน จำเลยที่ 1 ตกลงจะชดใช้คืนซึ่งทุน และหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและหรือเงินอื่นใดที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรืออบรม รวมทั้งเบี้ยปรับอีก 1 เท่า ให้แก่โจทก์ก็ตาม ก็มีผลเพียงต้องชดใช้เงินเดือนที่ได้รับระหว่างศึกษาต่อพร้อมเบี้ยปรับอีก 1 เท่า ไม่ต้องชดใช้ทุนคืนให้โจทก์แต่อย่างใด เพราะเงินทุนดังกล่าวมิได้เป็นเงินที่ได้รับจากทางราชการในระหว่างได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรือฝึกอบรม และมิได้เป็นทุนที่เจ้าของทุนมอบให้ทางรัฐบาลไทยหรือสถาบันในประเทศไทยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดด้วยเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งรับราชการในสังกัดโจทก์ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทุนของสภาประชากรอันเป็นมูลนิธิในประเทศสหรัฐอเมริกาและมอบทุนดังกล่าวให้แก่รัฐบาลไทย ทุนของสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาจัดเป็นทุนประเภท 1 (ข) ตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาฝึกอบรม และดูงาน ณ ต่างประเทศ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาให้แก่โจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จะปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว และตามระเบียบข้อบังคับอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับข้าราชการไปศึกษาและฝึกอบรม เมื่อจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาหรือถูกเรียกตัวกลับ จำเลยที่ 1 จะต้องรับราชการกับโจทก์หรือกระทรวง ทบวง กรม อื่น ๆ ตามที่ทางราชการเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เท่า ของเวลาที่ได้รับทุน หรือที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มสุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากันหากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมกลับมารับราชการ จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืนทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและหรือเงินอื่นใดทั้งสิ้นให้แก่โจทก์พร้อมเบี้ยปรับอีก 1 เท่า หากจำเลยที่ 1 รับราชการไม่ครบกำหนด เงินที่จะชดใช้คืนและเบี้ยปรับจะลดลงตามส่วน ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้เงินคืนพร้อมเบี้ยปรับตามสัญญาภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับแจ้งจากโจทก์ หากไม่ชำระภายในกำหนดหรือชำระไม่ครบ จำเลยที่ 1 ยอมให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในการทำสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 2เข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้รับเงินทุนของสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาที่มอบให้รัฐบาลไทยเป็นเงินเดือนเบี้ยเลี้ยง ค่าเล่าเรียน และค่าโดยสารเครื่องบินรวมทั้งสิ้น25,887.72 เหรียญสหรัฐอเมริกา จำเลยที่ 1 กลับมารับราชการกับโจทก์และขอลาออก โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาออกได้ จำเลยที่ 1ยอมชดใช้เงินเดือนที่รับไปจากโจทก์พร้อมเบี้ยปรับอีก 1 เท่าตามสัญญาจำเลยที่ 1 ต้องกลับมารับราชการกับโจทก์ต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เท่า ของเวลาที่ได้รับทุนคิดเป็นเวลา 10 ปี 11 เดือน21 วัน แต่จำเลยที่ 1 รับราชการกับโจทก์เพียง 82 วัน จำเลยที่ 1จึงผิดสัญญาและต้องชดใช้เงินทุนพร้อมเบี้ยปรับอีก 1 เท่าให้โจทก์รวมเป็นเงิน 51,635.32 เหรียญสหรัฐอเมริกา โจทก์มีหนังสือทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแต่เพิกเฉย ไม่ยอมชำระขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 51,635.32 เหรียญสหรัฐอเมริกา หรือจำนวน 1,190,194.13 บาท นับแต่วันที่ 16 เมษายน 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า สภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาเจ้าของทุนมิได้เจตนามอบทุนให้แก่รัฐบาลไทย แต่ตั้งใจมอบทุนให้จำเลยที่ 1 โดยตรงและไม่เคยแจ้งหรือเสนอให้ทุนที่ให้จำเลยที่ 1แก่รัฐบาลไทย และหรือกรมวิเทศสหการการจ่ายเงินทุนก็จ่ายให้จำเลยที่ 1 โดยตรงมิได้ผ่านรัฐบาลไทยหรือโจทก์ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญว่าทุนที่จำเลยที่ 1 ได้รับเป็นทุนประเภท 1 (ข) ซึ่งความจริงไม่ใช่ทุนประเภท 1 (ข) สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ที่จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินเดือนที่จำเลยที่ 1 ได้รับในระหว่างที่ไปศึกษาต่อพร้อมเบี้ยปรับให้โจทก์ และโจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาออกถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และเป็นการปลดหนี้ให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1มิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่โจทก์เรียกเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 1 อีก 1 เท่าถือว่าเป็นการเรียกค่าเสียหาย เมื่อจำเลยที่ 1 ไปเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นกิจการส่วนหนึ่งของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายเต็มตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ทุนที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาในระหว่างที่ไปศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกาให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด เห็นว่า ในกรณีที่จำเลยที่ 1 เสร็จการศึกษาแล้วไม่กลับมารับราชการหรือกลับมารับราชการเป็นเวลาน้อยกว่า 3 เท่า ของเวลาที่ได้รับทุนหรือที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มสุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากัน จำเลยที่ 1 ตกลงจะชดใช้คืนซึ่งทุน และหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและหรือเงินอื่นใดที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรือฝึกอบรม รวมทั้งเบี้ยปรับอีก 1 เท่า ให้แก่โจทก์ ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 3และข้อ 4 ดังนั้นเงินทุนที่จะต้องชดใช้คืนนั้นหมายถึงเงินที่ได้รับจากทางราชการในระหว่างได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรือฝึกอบรมเท่านั้นทุนที่จำเลยที่ 1 ได้รับเป็นทุนของสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาซึ่งนายบาเน็ท เอฟ. บารอน ตัวแทนอาวุโสของสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาประจำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ได้เบิกความรับรองว่าทุนของสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกามี 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1ให้แก่บุคคลทั่วไปหรือให้แก่เอกชน ประเภทที่ 2 ให้แก่สถาบันโดยสถาบันจะเป็นผู้เลือกบุคคลที่จะได้รับทุนเอง จำเลยที่ 1ได้รับทุนประเภทที่ 1 ซึ่งเป็นทุนที่ให้แก่บุคคลทั่วไปไม่จำกัดว่าผู้รับทุนจะเป็นข้าราชการหรือไม่ และในการให้ทุนแก่จำเลยที่ 1 นั้นทางสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาไม่เคยแจ้งให้รัฐบาลไทยหรือสถาบันใดทราบเลย การจ่ายเงินทุนก็จ่ายให้จำเลยที่ 1 โดยตรงเป็นรายเดือน เป็นการให้ทุนส่วนบุคคล แม้จำเลยที่ 1 จะไม่รับราชการจำเลยที่ 1 ก็ได้รับทุน นายกฤช สมบัติศิริ ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการในสำนักงานโจทก์และเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ก็เบิกความเป็นพยานจำเลยว่า ก่อนจะอนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาออกได้นำเรื่องปรึกษาคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนแล้วจำเลยที่ 1ชดใช้หนี้สินตามสัญญาครบถ้วนแล้ว เงินทุนที่จำเลยที่ 1 ได้รับผู้ให้ทุนไม่เคยมอบเงินให้โจทก์ จึงไม่มีเงินที่จะต้องชดใช้ให้โจทก์ ซึ่งเห็นได้ว่าทุนที่จำเลยที่ 1 ได้รับนี้เป็นทุนที่ทางสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการส่วนตัวมิใช่ทุนที่มอบให้รัฐบาลไทยและจำเลยที่ 1 ได้รับทุนดังกล่าวจากทางราชการอีกทอดหนึ่งอันจะต้องชดใช้ตามสัญญา ที่โจทก์ฎีกาว่าข้อความในหนังสือที่สภาประชากรมีถึงจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย ล.4หมายถึงสภาประชากรจะไม่เรียกเงินทุนคืนหรือมีความผูกพันใด ๆกับผู้รับทุน ถ้าจำเลยที่ 1 จะมีข้อตกลงผูกพันใด ๆ กับโจทก์ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบเอาเองตามข้อตกลงนั้น ๆไม่เกี่ยวข้องกับสภาประชากร เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.3ไว้แก่โจทก์ และทุนของสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นทุนประเภท 1 (ข) ซึ่งเป็นทุนที่องค์การระหว่างประเทศมอบให้แก่รัฐบาลไทยและรัฐบาลไทยตกลงรับทุนนั้น โดยกรมวิเทศสหการได้ประกาศให้เป็นทุนประเภท 1 (ข) แล้วตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาฝึกอบรม และดูงาน ณ ต่างประเทศ เอกสารหมาย จ.9 และประกาศกรมวิเทศสหการเอกสารหมาย จ.10 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามสัญญานั้นเห็นว่าทุนประเภท 1 (ข) ตามประกาศกรมวิเทศสหการ เอกสารหมาย จ.10และระเบียบเอกสารหมาย จ.9 นั้น หมายถึงทุนที่เจ้าของทุนมอบให้ทางรัฐบาลไทยหรือสถาบันในประเทศไทยเท่านั้นไม่ครอบคลุมถึงทุนที่ผู้ได้รับทุนได้รับเป็นส่วนตัว ทั้งในเอกสารหมาย ล.4 หน้า 2บรรทัดที่ 1 ได้ระบุไว้ชัดแจ้งแล้วว่าทุนนี้ได้จ่ายให้กับจำเลยที่ 1โดยตรง มิใช่ให้กับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 มิได้รับทุนของสภาประชากรแห่งสหรัฐอเมริกาโดยผ่านทางหน่วยงานราชการแต่ได้รับเป็นส่วนตัว แม้จำเลยที่ 1จะได้ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.3 ไว้กับโจทก์ก็ตาม ก็มีผลเพียงต้องชดใช้เงินเดือนและเบี้ยปรับซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ชำระไปแล้วเท่านั้นจำเลยที่ 1 ไม่ต้องชดใช้ทุนคืนให้โจทก์พร้อมเบี้ยปรับตามฟ้องแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดด้วยเช่นกัน
พิพากษายืน

Share