คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407-408/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลซึ่งมิได้มีข้อความที่ขอจดทะเบียนระบุไว้ว่าจะต้องมีตราของห้างประทับลงบนลายมือชื่อของหุ้นส่วนผู้จัดการด้วย จึงจะผูกพันห้างนั้นในการดำเนินคดีแทนห้าง เพียงแต่หุ้นส่วนผู้จัดการลงลายมือชื่อในคำฟ้องหรือคำให้การ แม้จะไม่ประทับตราของห้างด้วยก็สมบูรณ์ตามกฎหมาย
จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเกี่ยวกับการกระทำละเมิด ย่อมไม่มีประเด็นว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเกี่ยวกับค่าเสียหาย จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อฎีกาหาได้ไม่ เพราะมิใช่ข้อที่ว่ากันมาแล้วในศาลล่าง
กรรมการของบริษัทซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใช้ให้ลูกจ้างขับรถยนต์ของบริษัทไปยังสถานที่แห่งหนึ่งโดยกรรมการผู้นั้นนั่งไปด้วย ย่อมถือได้ว่าลูกจ้างได้ขับรถไปในทางการที่บริษัทจ้างซึ่งบริษัทจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วย

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณา และเรียกฝ่ายห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลรุ่งแสงขนส่งยะลาว่าโจทก์ เรียกฝ่ายบริษัทโชคชัยขนส่ง จำกัด ว่าจำเลย ทั้งสองฝ่ายต่างฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดซึ่งกันและกัน เนื่องจากรถยนต์ของทั้งสองฝ่ายเกิดชนกันขึ้น และอ้างว่าเป็นความผิดของอีกฝ่ายที่ขับรถโดยประมาท

ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนกันมาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รถจำเลยแล่นกินทางเข้าไปชนรถโจทก์ถือได้ว่าเหตุที่รถชนกัน เกิดจากความประมาทของคนขับรถฝ่ายจำเลยและเห็นพ้องด้วยกับค่าเสียหายที่ศาลล่างกำหนดให้จำเลยใช้แก่โจทก์

ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกามีดังนี้.-

1. คำฟ้องและใบแต่งทนายของโจทก์ไม่มีตราของห้างหุ้นส่วนประทับ จึงเป็นคำฟ้องและใบแต่งทนายไม่สมบูรณ์ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำตรามาประทับภายหลังจากจำเลยโต้แย้ง หาทำให้กลับสมบูรณ์ขึ้นไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโจทก์ มิได้มีข้อความที่ขอจดทะเบียนระบุไว้ว่าจะต้องมีตราของห้างหุ้นส่วนโจทก์ประทับลงบนลายเซ็นชื่อของหุ้นส่วนผู้จัดการด้วย จึงจะผูกพันห้างหุ้นส่วนโจทก์ ฉะนั้นคำฟ้องและคำให้การของโจทก์ที่นายประจวบ สิ่วเฉลิมวงศ์ หุ้นส่วนผู้จัดการได้ลงชื่อไว้โดยไม่มีตราของห้างหุ้นส่วนประทับ จึงเป็นคำฟ้องและคำให้การของห้างหุ้นส่วนโจทก์ที่สมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมายการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำตรามาประทับลงภายหลังจากจำเลยโต้แย้งย่อมไม่กระทบกระทั่งหรือมีผลเปลี่ยนแปลงความสมบูรณ์ที่มีอยู่

2. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำโดยประมาทชัดแจ้ง เพียงพอที่จะให้เข้าใจข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเกี่ยวกับค่าเสียหายเพราะมิได้บรรยายถึงรายละเอียดว่าเสียหายอย่างใดนั้น เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลล่าง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

3. จำเลยที่ 1 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในการละเมิดของจำเลยที่ 2 ซึ่งขับรถเพราะจำเลยที่ 2 มิได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า วันเกิดเหตุนายชัยยุทธซึ่งเป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 และมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ใช้ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถคันเกิดเหตุไปยังบ้านแหร โดยนายชัยยุทธได้นั่งไปด้วย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 ขับรถไปตามที่นายชัยยุทธใช้ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ขับรถไปในทางการของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้าง เมื่อเหตุละเมิดเกิดขึ้นในระหว่างนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วย

พิพากษายืน

Share