คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายยิงปืนมาทางเจ้าพนักงานตำรวจและจำเลยที่ 1 เพียงนัดเดียวไม่ปรากฏว่ากระสุนปืนถูกผู้ใด จำเลยที่ 1 ยิงปืนโต้ตอบไป ผู้ตายถูกกระสุนปืนด้านหลังแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายในขณะที่ผู้ตายหันหลังวิ่งหนี แต่เมื่อผู้ตายยิงปืนมาทางจำเลยที่ 1 ก่อน ซึ่งไม่แน่ว่าผู้ตายจะหันหลังกลับมายิงจำเลยที่ 1 กับพวกซ้ำอีกหรือไม่ภยันตรายที่จะเกิดจากผู้ตายจึงยังไม่หมดไปทีเดียว และจำเลยที่ 1 มีอำนาจที่จะจับผู้ตายซึ่งกระทำความผิดซึ่งหน้าได้ จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจยิงผู้ตายได้หากพอสมควรแก่เหตุเช่นยิงที่ขา แต่การที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตาย 1 นัด ทางด้านหลังถูกอวัยวะสำคัญถึงแก่ความตายทันที เห็นได้ว่ามีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการใช้วิธีหรือควรป้องกันทั้งหลายไม่เหมาะแก่พฤติการณ์แห่งเรื่องในการจับผู้ตาย และเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัว จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 69

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายแวดาแปหรือแวดาแม แนปีแน โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกอวัยวะสำคัญของร่างกายเป็นเหตุให้นายแวดาแปหรือแวดาแมถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตร ๘๓, ๒๘๘
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
นางตีเยาะมารดาผู้ตายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ตายยิงปืนมาทางเจ้าพนักงานตำรวจและจำเลยที่ ๑ เพียงนัดเดียว ไม่ปรากฏว่ากระสุนปืนถูกผู้ใด เหตุเกิดเวลากลางวันและเวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา ย่อมมองเห็นกันถนัด การที่จำเลยที่ ๑ ยิงปืนโต้ตอบสวนไปก็จะต้องเป็นเวลาทันทีทันใดที่ผู้ตายยิงปืนมา กระสุนปืนที่จำเลยที่ ๑ ยิงไปจะต้องถูกผู้ตายที่ด้านหน้าแต่ตามรายงานชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องปรากฏว่าผู้ตายมีบาดแผลกว้าง ๓ เซนติเมตร ยาง ๕ เซนติเมตร ที่ด้านหลังเหนือเอวอยู่ในระดับชายโครงเยื้องไปทางขวาของลำตัวทะลุเข้าในช่องท้อง แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ยิงผู้ตายในขณะที่ผู้ตายหันหลังวิ่งหนี แต่เมื่อผู้ตายยิงปืนมาทางจำเลยที่ ๑ ก่อน ซึ่งไม่แน่ว่าผู้ตายจะหันหลังกลับมายิงจำเลยที่ ๑ กับพวกซ้ำอีกหรือไม่ ภยันตรายที่จะเกิดจากผู้ตายจึงยังไม่หมดไปทีเดียว และจำเลยที่ ๑ มีอำนาจที่จะจับผู้ตายซึ่งกระทำความผิดซึ่งหน้าได้จำเลยที่ ๑ จึงมีอำนาจยิงผู้ตายได้หากพอสมควรแก่เหตุเช่นยิงที่ขา แต่การที่จำเลยที่ ๑ ยิงผู้ตาย ๑ นัด ทางด้านหลังถูกอวัยวะสำคัญถึงแก่ความตายทันทีเห็นได้ว่ามีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการใช้วิธีหรือการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัว จำเลยที่ ๑ จึงต้องมีความผิด ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๖๙ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้มีกำหนด ๓ ปี

Share