คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4057/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารอันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283 ทวิ วรรคสอง ต้องเป็นการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของตนเองหรือผู้ร่วมกระทำความผิดกับตน เมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันเป็นธุระจัดหาและพาผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี อันเป็นการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น มิใช่เพื่อสนองความใคร่ของจำเลยทั้งสองกับพวก การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสาม แต่ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 283 ทวิ วรรคสอง ส่วนความผิดฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ฐานค้ามนุษย์โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป และฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 283, 283 ทวิ, 317 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 4, 9 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 4, 6, 9, 10, 52
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสาม วรรคสี่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6 (2), 9 วรรคหนึ่ง วรรคสอง, 10 วรรคหนึ่ง, 52 วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม, 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี เพื่อให้กระทำการค้าประเวณี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ฐานร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ และฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อให้กระทำการค้าประเวณีฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ จำคุกคนละ 4 ปี ฐานโดยปราศจากเหตุอันสมควรร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร จำคุกคนละ 5 ปี รวมจำคุกคนละ 22 ปี 4 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับความผิดฐานค้ามนุษย์และฐานโดยปราศจากเหตุอันสมควรร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า ผู้เสียหายที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2541 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 เป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีอยู่ในความปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบิดา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 นางสาวทักษิณาหรือเอิร์น และนายวิษณุพงษ์ ซึ่งเป็นประจักษ์พยานมีข้อพิรุธสงสัยไม่น่าเชื่อถือนั้น ผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวทักษิณาพยานโจทก์เบิกความได้ความว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เพื่อนรุ่นพี่ของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งพักอยู่บริเวณซอยพหลโยธิน 54 ชักชวนให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปทำงานกับจำเลยทั้งสองจะได้มีเงินใช้ และพาผู้เสียหายที่ 1 ไปพบจำเลยทั้งสองที่บริเวณซอยพหลโยธินอีกซอยหนึ่งซึ่งมีรถเก๋งจอดอยู่ จำเลยที่ 1 เดินเข้าไปพูดคุยกับชายที่อยู่ในรถเก๋ง จากนั้นชายคนดังกล่าวส่งเงินให้จำเลยที่ 1 จำนวน 500 บาท แล้วจำเลยทั้งสองให้ผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นรถเก๋งไปกับชายคนดังกล่าว ผู้เสียหายที่ 1 ถูกพาไปที่โรงแรมพีพีซึ่งอยู่ในซอยเพิ่มสินแล้วชายคนดังกล่าวมีเพศสัมพันธ์กับผู้เสียหายที่ 1 ต่อมาชายคนดังกล่าวโทรศัพท์หาจำเลยที่ 1 และพาผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่บริเวณถนนโชคชัย 4 จำเลยที่ 1 ให้ลูกน้องมารับและพาผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่อพาร์ตเม้นท์บริเวณห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีสะพานใหม่ ผู้เสียหายที่ 1 พบกับนางสาวพิมลดาหรือพิมพ์และนางสาวทักษิณา จำเลยที่ 1 แบ่งเงินที่ผู้เสียหายที่ 1 ได้จากการค้าประเวณีจำนวน 1,000 บาท ให้ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 700 บาท ส่วนอีก 300 บาท จำเลยที่ 1 เก็บไว้ ในวันดังกล่าวจำเลยที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อผู้ซื้อบริการทางเพศแล้วพาผู้เสียหายที่ 1 ไปขายบริการทางเพศอีกสองครั้งโดยส่งไปที่โรงแรมบริเวณถนนลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี การขายบริการทางเพศแต่ละครั้งจำเลยทั้งสองได้รับค่านายหน้าจำนวน 500 บาท และเมื่อผู้เสียหายที่ 1 ได้รับค่าบริการทางเพศจำนวน 1,000 บาท จะต้องแบ่งให้จำเลยที่ 1 จำนวน 300 บาท ส่วนผู้เสียหายที่ 1 รับไว้เองจำนวน 700 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสองพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ที่ซอยพหลโยธิน 51 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำเลยที่ 1 และสามี บุตร และมารดาของจำเลยที่ 1 พักอาศัย ผู้เสียหายที่ 1 นางสาวพิมลดาและนางสาวทักษิณามาพักอาศัยด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 พักอาศัยอยู่บ้านตรงข้าม ขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 พักอาศัยที่บ้านของจำเลยที่ 1 ต้องขายบริการทางเพศทุกวันโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ติดต่อผู้ที่ต้องการซื้อบริการทางเพศและส่งรูปให้ดูก่อน การไปขายบริการทางเพศจะมีจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งตามสถานที่ที่นัดหมายกันไว้ บางครั้งก็ให้นางสาวพิมลดาพาไปส่ง ก่อนขายบริการทางเพศจำเลยที่ 1 จะให้โทรศัพท์เคลื่อนที่แก่ผู้เสียหายที่ 1 เมื่อขายบริการทางเพศเสร็จแล้วให้ผู้เสียหายที่ 1 ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าวติดต่อจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 จะมารับตามที่นัดหมายและนำโทรศัพท์เคลื่อนที่คืนไป ระหว่างที่ผู้เสียหายที่ 1 พักอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน 2556 ผู้เสียหายที่ 1 ต้องขายบริการทางเพศมากกว่า 10 ครั้ง ระยะหลังผู้เสียหายที่ 1 ได้รับค่าตัวเพียงครั้งละ 200 ถึง 300 บาท โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่าเนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 มาพักอาศัยที่บ้านของจำเลยที่ 1 จึงต้องหักเงินเป็นค่ากินค่าอยู่ จำเลยทั้งสองมักจะขู่ผู้เสียหายที่ 1 ว่าหากหลบหนีไป จำเลยทั้งสองสามารถตามตัวมาได้และต้องถูกลงโทษทุบตี ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2556 จำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวทักษิณาไปขายบริการทางเพศที่บริเวณดอนเมืองโดยผู้ซื้อบริการทางเพศพาผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวทักษิณาไปที่คอนโดมิเนียมบริเวณคลองตัน หลังจากขายบริการทางเพศเสร็จแล้วผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวทักษิณาพากันหลบหนีจำเลยทั้งสองไปที่บ้านของนางสาวทักษิณาที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาวันรุ่งขึ้นขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวทักษิณาเดินทางมารับพี่สาวของนางสาวทักษิณาที่สถานีขนส่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ปรากฏว่านางสาวพิมลดาและนางสาวเปิ้ล หลานของจำเลยที่ 1 มาพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อจำเลยที่ 1 รู้ว่าผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาผู้เสียหายที่ 1 และเจ้าพนักงานตำรวจมาตามหาผู้เสียหายที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงให้ผู้เสียหายที่ 1 โทรศัพท์แจ้งแก่ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเท็จว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้ผู้เสียหายที่ 2 และเจ้าพนักงานตำรวจตามหาผู้เสียหายที่ 1 ไม่พบและห้ามมิให้ผู้เสียหายที่ 1 พูดถึงจำเลยทั้งสอง ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับสัญญาณจากตู้โทรศัพท์และตามหาผู้เสียหายที่ 1 จนพบ รวมทั้งจับกุมจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดี เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวทักษิณาพยานโจทก์ทั้งสองแล้ว เห็นว่า พยานทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญเกี่ยวกับการที่จำเลยทั้งสองติดต่อทางโทรศัพท์กับผู้ที่ต้องการซื้อบริการทางเพศแล้วพาพยานทั้งสองไปส่งให้ชายผู้ที่ประสงค์จะซื้อบริการทางเพศโดยจำเลยทั้งสองได้รับเงินค่านายหน้า แล้วยังหักเงินจากพยานทั้งสองที่ได้รับจากการขายบริการทางเพศไว้อีกส่วนหนึ่งด้วย ขณะเกิดเหตุพยานทั้งสองเป็นเด็กอายุยังน้อย ไม่น่าเชื่อว่าพยานทั้งสองจะสร้างเรื่องขึ้นปรักปรำจำเลยทั้งสองโดยปราศจากมูลความจริง คำเบิกความของพยานทั้งสองมีรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์การกระทำของจำเลยทั้งสองอย่างชัดเจนและไม่ปรากฏข้อพิรุธในข้อที่เป็นสาระสำคัญ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของนายวิษณุพงษ์พยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานเปิดห้องพักโรงแรมม่านรูดชื่อโรงแรมโมเดิร์นตั้งอยู่ที่ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ยืนยันว่า ผู้หญิงที่นำผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวทักษิณามาส่งที่โรงแรมคือบุคคลในภาพถ่ายซึ่งก็คือจำเลยที่ 2 คำเบิกความของนายวิษณุพงษ์สอดคล้องและสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวทักษิณาทำให้มีน้ำหนักในการรับฟังมากยิ่งขึ้น ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงและเชื่อถือได้ ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่า หลังจากผู้เสียหายที่ 1 ขายบริการทางเพศครั้งแรกแล้ว ในวันเดียวกันผู้เสียหายที่ 1 ยังขายบริการทางเพศอีกสองครั้ง รวมเป็นสามครั้งโดยโจทก์และผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้นำสืบว่า ผู้เสียหายที่ 1 ไปขายบริการทางเพศที่ไหน กับใคร สถานที่ใด เวลากลางวันหรือกลางคืน ได้เงินมาเท่าใด และจำเลยทั้งสองหักเงินไปเท่าใดนั้น เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความในสาระสำคัญแล้วว่า การขายบริการทางเพศแต่ละครั้งจำเลยทั้งสองได้รับค่านายหน้าจำนวน 500 บาท และเมื่อผู้เสียหายที่ 1 ได้รับค่าบริการทางเพศจำนวน 1,000 บาท จะต้องแบ่งให้จำเลยที่ 1 จำนวน 300 บาท ส่วนเรื่องสถานที่ที่ไปขายบริการทางเพศในแต่ละครั้งเป็นสถานที่ใด ในเวลากลางวันหรือกลางคืนเป็นเรื่องรายละเอียด แม้ผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้เบิกความกล่าวอ้างถึงเวลาและสถานที่ทุกแห่งที่ถูกพาไปขายบริการทางเพศก็ไม่ทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 มีข้อพิรุธสงสัยถึงกับขาดน้ำหนักในการรับฟัง เพราะมีการไปขายบริการทางเพศหลายครั้งซึ่งย่อมเป็นการยากที่จะจดจำรายละเอียดได้ทั้งหมด ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการข่มขู่ บังคับ และขู่เข็ญให้ขายบริการทางเพศนั้น ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า ผู้เสียหายที่ 1 ถูกจำเลยทั้งสองขู่ว่าหากหลบหนีไปจะถูกตามตัวมาและลงโทษทุบตี และนางสาวทักษิณาเบิกความว่า ผู้เสียหายที่ 1 ไม่มีอิสระที่จะออกไปไหนมาไหนและจำเลยที่ 1 ขู่ว่าหากหลบหนีจะให้คนตามไปทำร้าย อีกทั้งข้อเท็จจริงยังได้ความด้วยว่า เมื่อผู้เสียหายที่ 1 และนางสาวทักษิณาหลบหนีไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จำเลยทั้งสองยังให้นางสาวพิมลดาและนางสาวเปิ้ลหลานของจำเลยที่ 1 ไปตามผู้เสียหายที่ 1 เมื่อพบกันนางสาวพิมลดาตบหน้าผู้เสียหายที่ 1 กับพูดว่าหนีแม่มาทำไม เขาอุตส่าห์เลี้ยงดูมา จากนั้นนางสาวพิมลดาและนางสาวเปิ้ลพาผู้เสียหายที่ 1 กลับมาที่กรุงเทพมหานคร ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ยังเป็นเด็ก พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 ดังกล่าวย่อมทำให้ผู้เสียหายที่ 1 เกิดความหวาดกลัวถือว่าเป็นการข่มขู่ บังคับ และขู่เข็ญแล้ว ข้อกล่าวอ้างตามฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองมิได้กระทำดังกล่าวนั้นฟังไม่ขึ้น สำหรับฎีกาของจำเลยทั้งสองในประการอื่นเป็นรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับพวกกระทำความผิดจริง ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง การพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคสอง นั้น ต้องเป็นการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของตนเองหรือผู้ร่วมกระทำความผิดกับตน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันเป็นธุระจัดหาและพาผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี อันเป็นการกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น มิใช่กระทำไปเพื่อสนองความใคร่ของจำเลยทั้งสองกับพวก การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 283 ทวิ วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทความผิดนี้มาจึงไม่ถูกต้อง ส่วนความผิดฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าไปเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ฐานค้ามนุษย์โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป และฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทนั้น ต้องลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อให้กระทำการค้าประเวณีฯ จึงไม่ถูกต้องเช่นกัน ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ฐานค้ามนุษย์โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป และฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share