แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาที่ผู้ค้ำประกันมีความรับผิดแต่เพียงฝ่ายเดียว การตีความให้ผู้ค้ำประกันรับผิดจึงต้องเป็นไปโดยเคร่งครัด จะตีความไปในทางขยายความรับผิดของผู้ค้ำประกันให้เกินเลยไปกว่าข้อความที่ปรากฏชัดแจ้งในสัญญาค้ำประกันไม่ได้ จำเลยเข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของ ภ. วันใดย่อมหมายถึงจำเลยยอมค้ำประกันการทำงานของ ภ. นับแต่วันที่ทำสัญญาค้ำประกันนั้นเป็นต้นไป มิใช่หมายความถึงยอมค้ำประกันหนี้ที่ ภ. เป็นหนี้โจทก์อยู่แล้วก่อนหน้าวันที่จำเลยตกลงยอมเข้าเป็นผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นการขยายความรับผิดของผู้ค้ำประกัน หากโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยรับผิดในหนี้ที่ ภ. ก่อให้เกิดขึ้นก่อนหน้าวันที่จำเลยเข้าเป็นผู้ค้ำประกันก็ต้องระบุไว้ให้ชัดเจน เมื่อสัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความระบุไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับผิดในหนี้ที่ ภ. ก่อให้เกิดขึ้นแล้วก่อนวันทำสัญญา แต่หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้ที่ ภ. ก่อให้เกิดขึ้นก่อนวันที่จำเลยเข้าเป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 82,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 80,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัด
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน 2543 ถึงวันที่ 29 มีนาคม 2544 นายเภาซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานขายและเก็บเงินสดได้เก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าโจทก์รวมเป็นเงิน 88,350 บาท แล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองทั้งหมด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 88,350 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2544 จำเลยเข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายเภา โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม วงเงินไม่เกิน 80,000 บาท ภายหลังนายเภาไม่ชำระเงินค่าสินค้าที่เก็บจากลูกค้าแล้วเบียดบังไว้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความทวงถามจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ที่นายเภาเบียดบังเอาไว้ จำเลยได้รับหนังสือแล้วเพิกเฉย ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของนายเภาตามสัญญาค้ำประกันจะต้องรับผิดในหนี้เงินที่นายเภาเบียดบังเป็นของตน ซึ่งเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่จำเลยเข้าเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของนายเภาหรือไม่ เห็นว่า สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาที่ผู้ค้ำประกันมีความรับผิดแต่เพียงฝ่ายเดียว การตีความให้ผู้ค้ำประกันรับผิดจึงต้องเป็นไปโดยเคร่งครัด จะตีความไปในทางขยายความรับผิดของผู้ค้ำประกันให้เกินเลยไปกว่าข้อความที่ปรากฏชัดแจ้งในสัญญาค้ำประกันไม่ได้ จำเลยเข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายเภาวันใด ย่อมหมายถึงจำเลยยอมค้ำประกันการทำงานของนายเภานับแต่วันที่ทำสัญญาค้ำประกันนั้นเป็นต้นไป มิใช่หมายความถึงยอมค้ำประกันหนี้ที่นายเภาเป็นหนี้โจทก์อยู่แล้วก่อนหน้าวันที่จำเลยตกลงยอมเข้าเป็นผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นการขยายความรับผิดของผู้ค้ำประกัน หากโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยรับผิดในหนี้ที่นายเภาก่อให้เกิดขึ้นก่อนหน้าวันที่จำเลยเข้าเป็นผู้ค้ำประกันก็ต้องระบุไว้ให้ชัดเจน เมื่อสัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความระบุไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับผิดในหนี้ที่นายเภาก่อให้เกิดขึ้นแล้วก่อนวันทำสัญญา ดังนั้นหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้ที่นายเภาก่อให้เกิดขึ้นก่อนวันที่จำเลยเข้าเป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องชอบแล้ว
พิพากษายืน.