คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความในเอกสารซึ่งโจทก์และจำเลยทั้งสองทำขึ้นไว้ที่สถานีตำรวจมีแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 ยอมผ่อนชำระเงินตามเช็คเป็นรายเดือนให้แก่โจทก์และมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในการชำระเงิน ไม่มีข้อความว่าโจทก์ยอมถอนคำร้องทุกข์หรือยอมเลิกคดีอาญาที่ได้แจ้งความไว้นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ยอมผ่อนผันแต่ฝ่ายเดียวไม่มีลักษณะเป็นสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทให้เสร็จไป ด้วยการยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ แต่มีลักษณะเป็นการที่จำเลยที่1รับสภาพความรับผิดโดยสัญญา และเป็นการที่จำเลยที่ 1 ให้ประกันแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ไว้โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิด จำเลยทั้งสองจึงมีความรับผิดต้องใช้หนี้ตามสัญญานั้น
เมื่อหนี้ตามเช็คที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์ได้ล่วงพ้นอายุความ 1 ปีไปแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญายอมรับสภาพความรับผิดต่อโจทก์ และมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์แล้ว สัญญาดังกล่าวย่อมสมบูรณ์ผูกพันจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 188 วรรคสาม, 192 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่เพียงใด ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าวได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารเชสแมนแฮตตันฉบับหนึ่งสั่งจ่ายเงิน 50,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายให้แก่โจทก์ ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันจำเลยที่ 1 ยอมตกลงให้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัด โจทก์ทวงถามแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ การตกลงผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เป็นบันทึกข้อตกลงผ่อนชำระหนี้เพื่อยอมความเลิกคดีอาญาต่อกัน มูลหนี้เดิมเป็นหนี้ตามเช็คมีอายุความ 1 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว

จำเลยที่ 2 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 และต่อสู้ว่าการค้ำประกันตกเป็นโมฆียะเพราะสำคัญผิด ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้บอกล้างแล้ว

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมโจทก์นำคดีมาฟ้องโดยขาดอายุความ บันทึกที่สถานีตำรวจไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความแต่เป็นสัญญารับสภาพหนี้ซึ่งไม่ได้ตั้งประเด็นนำสืบไว้ จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า บันทึกที่สถานีตำรวจมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งมีอายุความ 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์ไปแล้ว 36,000 บาท คงค้างอยู่อีก 14,000 บาทพิพากษากลับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 14,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนจนครบถ้วน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ล.1 ดังกล่าวคงมีข้อความแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ยอมผ่อนชำระเงินตามเช็คเป็นรายเดือนให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในการชำระเงินดังกล่าวเท่านั้น ไม่มีข้อความว่าโจทก์ยอมถอนคำร้องทุกข์ หรือยอมเลิกคดีอาญาที่ได้แจ้งความไว้นั้นแต่ประการใดจึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ยอมผ่อนผันแต่ฝ่ายเดียว ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงหาใช้สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ แต่เอกสารดังกล่าวมีลักษณะเป็นการที่จำเลยที่ 1 รับสภาพความรับผิดโดยสัญญา และเป็นการที่จำเลยที่ 1 ให้ประกันแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ไว้โดยจำเลยที่ 2 มาเป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดจำเลยทั้งสองจึงมีความรับผิดต้องใช้หนี้ตามสัญญานั้นอยู่ดี

ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว เห็นว่า ภายหลังเมื่อหนี้ตามเช็คที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์ได้ล่วงพ้นกำหนดอายุความ1 ปีไปแล้วจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญายอมรับสภาพความรับผิดต่อโจทก์ และมีจำเลยที่ 2 เข้าเป็นผู้ค้ำประกันไว้ด้วย สัญญาดังกล่าวย่อมสมบูรณ์มีผลผูกพันจำเลยทั้งสองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 188 วรรคสามแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และโดยผลแห่งสัญญาดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์แล้วนั้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 192 วรรคแรก คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ 1 ปี

ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่เพียงใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อนี้ไปเลยทีเดียว ยังไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา และตามพยานหลักฐานของจำเลยก็รับฟังได้ว่า จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว เห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่ว่า จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วหรือไม่เพียงใด ตามข้ออุทธรณ์ของโจทก์ไปทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดนั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะกระทำได้ หาเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาแต่ประการใดไม่

สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ฎีกาว่า จำเลยควรรับผิดชอบในดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไป ไม่ใช่นับแต่วันฟ้อง เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้ผิดนัดนั้นเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์ว่าก่อนฟ้องโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแล้วแต่เพิกเฉย เป็นการผิดนัดจำเลยทั้งสองจึงต้องชำระดอกเบี้ยซึ่งโจทก์ขอคิดนับแต่วันฟ้อง ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มิได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ผิดนัดตามที่โจทก์ฟ้อง กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ได้ผิดนัดมาตั้งแต่ก่อนวันโจทก์ฟ้องแล้ว

พิพากษายืน

Share