แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยนำสารพิษสตริกนิน ให้ผู้ตายเสพรับเข้าสู่ร่างกายจนผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยได้คิดวางแผนเตรียมการมาก่อน ถือได้ว่าจำเลยฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยทยอยให้ผู้ตายเสพรับสารพิษสตริกนิน เข้าสู่ร่างกายเป็นระยะ ๆ สุดแล้วแต่สถานการณ์ และโอกาสจะอำนวย เป็นเหตุให้ผู้ตายต้องป่วยเจ็บได้รับความทุกข์ทรมานตลอดมา จนกระทั่งเมื่อมีเหตุที่สามารถหันเหความสนใจของผู้อื่นไปจากอาการของสารพิษสตริกนิน ได้แล้วก็ได้เพิ่มจำนวนสารพิษสตริกนิน ให้ผู้ตายเสพรับเข้าสู่ร่างกายจนถึงขีดที่ร่างกายไม่สามารถต้านทาน ได้และผู้ตายถึงแก่ความตายในที่สุด ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยประสงค์จะให้ผู้ตายได้รับความลำบากอย่างสาหัสก่อนตายด้วย อันมิใช่เป็นการฆ่าโดยวิธีธรรมดาทั่ว ๆ ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้าย (วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2532)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำสารพิษสตริกนินให้นางกาญจนา วงศ์ทอง ภริยาจำเลย ผู้ตายคดีนี้รับประทาน ทั้งนี้โดยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุให้ผู้ตายเกิดอาการเกร็ง แน่นหน้าอก แะลชักกระตุก จนถึงแก่ความตาย อันเป็นการกระทำโดยทารุณโหดร้ายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4)(5) ให้ประหารชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พยานหลักฐานโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาแล้วบ่งชี้ชัดว่าจำเลยนำสารพิษสตริกนินให้ผู้ตายเสพรับเข้าสู่ร่างกายจนผู้ตายถึงแก่ความตายอย่างไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย โดยจำเลยได้คิดวางแผนเตรียมการมาก่อนอันเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยได้ทยอยใให้ผู้ตายเสพรับสารพิษสตริกนินเข้าสู่ร่างกายเป็นระยะ ๆสุดแล้วแต่สถานการณ์และโอกาสจะอำนวย เป็นเหตุให้ผู้ตายต้องป่วยเจ็บได้รับความทุกข์ทรมานตลอดมา จนกระทั่งเมื่อมีเหตุจะอ้างได้ว่าผู้ตายประสบอุบัติเหตุและสามารถหันเหความสนใจของผู้อื่นไปจากอาการของสารพิษสตริกนินแล้ว จึงได้เพิ่มจำนวนสารพิษสตริกนินให้ผู้ตายเสพรับเข้าสู่ร่างกายมากขึ้นจนถึงขีดที่ร่างกายไม่สามารถต้านทานได้ และถึงแก่ความตายในที่สุดเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยยประสงค์จะให้ผู้ตายได้รับความลำบากอย่างสาหัสก่อนตายด้วย อันมิใช่เป็นการฆ่าโดยวิธีธรรมดาทั่ว ๆ ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายดังที่โจทก์ฎีกาที่จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดนั้น มีเพียงคำของจำเลยเองปากเดียวเบิกความลอย ๆ และไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น