แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์นำน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานเข้าเป็นอันสำเร็จตั้งแต่ขณะที่เรือนำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในเขตท่าที่จะสูบถ่ายน้ำมันจากเรือไปเก็บในถังบนบก เมื่อโจทก์นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จ โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีอากรให้จำเลยแล้ว โจทก์ไม่สามารถทำใบขนที่สมบูรณ์และปฏิบัติตามพิธีการเสียภาษีได้ทันที น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจึงยังคงเก็บอยู่ในเรือและอยู่ในอารักขาของศุลกากร โจทก์ขอวางเงินไว้เป็นประกันและจำเลยอนุญาตแล้ว เงินประกันดังกล่าวจึงมิใช่เงินค่าภาษีอากรขาเข้าและไม่อยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 และมาตรา 112 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 กำหนดว่า ในการวางเงินเป็นประกันเช่นนี้พนักงานศุลกากรจะต้องทำการประเมินและแจ้งให้โจทก์ผู้นำของเข้านำภาษีอากรไปชำระเสียก่อน ดังนั้น โจทก์จึงไม่ต้องขอคืนเงินภาษีอากรภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ส่งของนั้นกลับออกไป และเมื่อกรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของมาตรา 19 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามประกาศกรมศุลกากรที่ 26/2528 ข้อ 9 และ ประกาศกรมศุลกากรที่ 27/2523เรื่องการขอคืนเงินอากรตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินอากรนำเข้าและภาษีพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จนถึงวันฟ้องรวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,903,574.49บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน3,706,658.49 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์นำของเข้ามาสำเร็จแล้วตั้งแต่ขณะที่เรือซึ่งนำของเข้ามาในเขตท่าที่จะถ่ายของลงจากเรือ ความรับผิดของโจทก์ในอันที่จะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นแล้วในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จตามมาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 เนื่องจากโจทก์ได้รับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษียังไม่ครบถ้วน โจทก์จึงได้ร้องขอต่อจำเลยขอนำน้ำมันทั้งสามชนิดออกไปจากอารักขาของศุลกากร โดยยังไม่ต้องปฏิบัติพิธีการศุลกากรตามมาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งจำเลยได้อนุมัติให้ตามที่โจทก์ร้องขอตามความในมาตรา 40 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 โดยให้โจทก์วางเงินประกันการออกของสำหรับสินค้าน้ำมันทั้งสามชนิดที่นำเข้าไปก่อน ในกรณีวางเงินไว้เป็นประกันตามมาตรา 40 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มีผลเท่ากับเสียภาษีอากรแล้ว โดยเฉพาะกรณีของโจทก์นั้นโจทก์ยื่นขอออกของไปจากอารักขาของศุลกากรโดยรีบด่วนก่อนปฏิบัติพิธีการครบถ้วน โดยวางเงินประกันไว้ตามมาตรา 40 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469ก็มีผลเท่ากับโจทก์ได้เสียอากรแล้วเช่นเดียวกัน ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานประเมินจากปริมาตรที่โจทก์นำเข้าตามที่โจทก์สำแดง เนื่องจากมิได้มีการตรวจวัดสูบถ่ายขึ้นถังบนบก ตามคำร้องขอของโจทก์เอง มิได้ประเมินจากปริมาตรที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้า การประเมินของจำเลยจึงชอบแล้ว โจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องขอคืนเงินอากรตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9)พ.ศ. 2482 โดยต้องปฏิบัติตามประกาศกรมศุลกากรที่ 27/2523 และประกาศกรมศุลกากรที่ 26/2528 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินอากรนำเข้าและภาษีจำนวน 3,706,658.49 บาท ตลอดจนดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน3,903,574.49 บาท ให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 3,706,658.49 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2532 โจทก์นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง 3 ชนิด คือน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซินชนิดพิเศษ และน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน เข้ามาในประเทศไทยโดยบรรทุกมาในเรือ เมื่อเรือเข้าจอดในเขตท่าที่จะถ่ายของลงจากเรือโจทก์ไม่สามารถทำใบขนที่สมบูรณ์และปฏิบัติพิธีการเสียภาษีได้ทันทีโจทก์จึงทำเรื่องขอผ่อนผันนำสินค้าดังกล่าวออกไปก่อนและเสียภาษีอากรภายหลัง จำเลยอนุญาตโดยให้โจทก์วางเงินสดเป็นประกันภาษีและอากรขาเข้าน้ำมันทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว โจทก์ได้สูบถ่ายและเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจปล่อยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันเบนซินชนิดพิเศษเข้าไว้ในถัง ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่นำเข้ามีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ โจทก์ไม่ได้สูบถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจากเรือไปเก็บในถังบนบกและจะต้องส่งน้ำมันดังกล่าวกลับคืนไปยังผู้ขายที่ประเทศสิงคโปร์ น้ำมันดังกล่าวอยู่ในอารักขาศุลกากรรอผ่านพิธีการรีเอกซ์ปอร์ต ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2532จำเลยอนุมัติให้โจทก์ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานออกไปจากอารักขาของศุลกากรได้เพื่อคืนไปยังผู้ขายเดิม ครั้นวันที่ 2พฤศจิกายน 2532 โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินอากรขาเข้าภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อมหาดไทย และใบเสร็จรับเงินอากรขาเข้าของน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งสามชนิดที่โจทก์นำเข้าโดยจำเลยหักเงินประกันที่โจทก์วางไว้เป็นค่าภาษีอากรขาเข้าภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อมหาดไทย และให้โจทก์รับคืนเงินประกันที่เหลือ โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรไปยังกองวิเคราะห์ราคา กองพิธีการและประเมินอากร และกองคืนอากรและส่งเสริมการส่งออกตามลำดับ แล้วกองคืนอากรและส่งเสริมการส่งออกมีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษีอากรที่ชำระไว้เพราะขัดต่อเงื่อนไขตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482ประกาศกรมศุลกากรที่ 27/2523 ข้อ 2 และประกาศกรมศุลกากรที่ 26/2528ข้อ 9 และศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานเข้าเป็นอันสำเร็จ ตั้งแต่ขณะที่เรือนำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในเขตท่าที่จะสูบถ่ายน้ำมันจากเรือไปเก็บในถังบนบก เมื่อโจทก์นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จ โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีอากรให้จำเลย แต่เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถทำใบขนที่สมบูรณ์และปฏิบัติตามพิธีการเสียภาษีได้ทันที น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจึงยังคงเก็บอยู่ในเรือและอยู่ในอารักขาของศุลกากร โจทก์ขอวางเงินไว้เป็นประกันและจำเลยอนุญาตแล้ว เงินประกันดังกล่าวจึงมิใช่เงินค่าภาษีอากรขาเข้า เงินประกันดังกล่าวจึงไม่อยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482และมาตรา 112 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 กำหนดว่าในการวางเงินเป็นประกันเช่นนี้ พนักงานศุลกากรจะต้องทำการประเมินและแจ้งให้โจทก์ผู้นำของเข้านำภาษีอากรไปชำระเสียก่อน ดังนั้นโจทก์จึงไม่ต้องขอคืนเงินภาษีอากรภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ส่งของนั้นกลับออกไป และเมื่อกรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของมาตรา 19ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามประกาศกรมศุลกากรที่26/2528 ข้อ 9 และประกาศกรมศุลกากรที่ 27/2523 ตามข้ออ้างของจำเลย จำเลยต้องคืนเงินประกันดังกล่าวให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน