คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4048/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและรับเหมาก่อสร้างบ้านกับรับเงินแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 เท่านั้นแต่เมื่อจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และส่วนใหญ่จะเป็นผู้ทำสัญญากับลูกค้าด้วยตนเอง เมื่อมีปัญหาจำเลยที่ 3 จะเป็นผู้เจรจาตกลงซึ่งทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า จำเลยที่ 3 มีอำนาจในการดำเนินการกิจการของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนในกิจการของตน การที่จำเลยที่ 3เจรจาตกลงทำบันทึกเอกสารหมาย จ.5 จึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 และที่ 2
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผ่อนชำระเงินคืนให้โจทก์ถึง 8 งวด ตามบันทึกข้อตกลงและจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขายที่ดินและบ้านซึ่งโจทก์ตกลงคืนให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ให้สัตยาบันในการกระทำของจำเลยที่ 3 แล้ว มีผลผูกพันให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงทั้งหมด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 212,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือในวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และไม่ชำระเงินค่าก่อสร้างส่วนที่เหลือ ทั้งที่จำเลยที่ 2ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยที่ 3 กลับทำบันทึกข้อตกลงพิพาทกับโจทก์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์สำคัญผิดและโดยไม่มีอำนาจเพราะจำเลยที่ 3 เพิ่งทราบว่าไม่มีหน้าที่ต้องชดใช้เงินให้โจทก์เนื่องจากโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา การที่จำเลยที่ 3 กระทำเกินหน้าที่ไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน212,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 มกราคม 2542) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000บาท คำขออื่นให้ยก (ที่ถูก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3)

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 206,250 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์ ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเนื้อที่ 126 ตารางวา จากจำเลยที่ 1 และทำสัญญาจ้างเหมาให้จำเลยที่ 2 ทำการก่อสร้างบ้านในที่ดินดังกล่าว ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้กระทำแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลังจากทำสัญญาโจทก์ได้ผ่อนชำระเงินให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ไปจำนวน 405,000 บาท ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 3 จะนำที่ดินและบ้านดังกล่าวไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่ผู้อื่นจึงไปทำการคัดค้าน จำเลยที่ 3 ได้ทำบันทึกข้อตกลงยินยอมคืนเงินจำนวน 405,000 บาท ให้แก่โจทก์โดยขอผ่อนชำระเป็นงวด ๆโดยงวดแรกชำระ 45,000 บาท และงวดต่อไปงวดละ 20,000 บาท ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.5 และต่อมาได้มีการผ่อนชำระเงินคืนให้โจทก์ 8 งวด เป็นเงิน 160,000บาท คงค้างอยู่อีก 200,000 บาท

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2จะต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.5 หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3เป็นผู้ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายและรับเหมาก่อสร้าง กับรับเงินแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 เท่านั้น แต่จำเลยที่ 3 ก็เบิกความรับว่า จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทโครงการของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่วนใหญ่จำเลยที่ 3 จะเป็นผู้ทำสัญญากับลูกค้าด้วยตนเอง นอกจากนี้ปรากฏว่าเมื่อมีปัญหาจำเลยที่ 3ก็จะเป็นผู้เจรจาตกลงซึ่งทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินกิจการของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จากพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนในการดำเนินกิจการของตน การที่จำเลยที่ 3 เจรจาตกลงทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 เกี่ยวกับเรื่องสัญญาจะซื้อจะขายและรับเหมาก่อสร้างดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการกระทำในนามของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ

ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่า จำเลยที่ 3 ตกลงชำระหนี้ให้แก่โจทก์โดยพลการและไม่ถูกต้องเนื่องจากโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 กระทำไปโดยปราศจากอำนาจหรือทำนอกเหนือขอบเขตจึงไม่ผูกพัน จำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยที่ 3 ทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ผ่อนชำระเงินคืนให้แก่โจทก์รวม 8 งวด ตามหลักฐานการจ่ายเงินและรับเงินเอกสารหมาย จ.6นอกจากนี้ยังปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขายที่ดินและบ้านซึ่งโจทก์ตกลงคืนให้แก่นายธรรมรงค์ไปแล้ว จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ยินยอมเข้าผูกพันปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการได้ให้สัตยาบันในการกระทำของจำเลยที่ 3 แล้ว บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 จึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 3 เข้าทำข้อตกลงโดยพลการและมูลหนี้ที่ตกลงชำระกันเป็นมูลหนี้ที่ไม่ชอบได้ อีกทั้งการให้สัตยาบันดังกล่าวมีผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงทั้งหมด หาใช่เป็นการให้สัตยาบันเฉพาะในมูลหนี้ที่ได้ชำระให้แก่โจทก์ไปแล้ว ดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,300 บาทแทนโจทก์

Share