คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3522/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่าจำเลยได้สั่งซื้อและได้รับสินค้าไปจากโจทก์แล้วหรือไม่ จำเลยอ้างว่า เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างจำเลยปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ แต่โจทก์นำกรรมการโจทก์มาเบิกความประกอบเอกสาร ไม่ได้นำพนักงานขายและพนักงานส่งสินค้าของโจทก์ซึ่งรู้เห็นโดยตรงเข้าเบิกความ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนและเป็นการรับฟังพยานบอกเล่าเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่าไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอแก่การจะรับฟังเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 คำว่า “ได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว” ตามวรรคสองนั้นกฎหมายมุ่งบัญญัติให้ใช้บังคับแก่คู่สัญญาทั้งฝ่ายผู้ขายและผู้ซื้อดังนั้น หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ชำระหนี้ส่วนของตนไปแล้วก็ย่อมจะเรียกร้องเอาสิทธิที่ตนจะได้รับจากอีกฝ่ายหนึ่งได้ เพราะสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้ขายย่อมมีหนี้ที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ ส่วนผู้ซื้อก็มีหนี้ที่ต้องใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายเมื่อโจทก์ผู้ขายได้ส่งมอบสินค้าของตนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายผู้ซื้อแล้วจึงถือได้ว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ส่วนของตนแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระราคาสินค้าแก่โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2540 จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เป็นเงิน112,361.32 บาท ครบกำหนดชำระหนี้ในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 หลังจากครบกำหนดชำระหนี้จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 112,361.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18ต่อปี นับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 18,507.29 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 130,868.61 บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 112,361.32 บาท แก่โจทก์นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ และการซื้อขายสินค้าดังกล่าวเป็นเงินกว่า 500 บาท แต่โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยมาแสดงโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 112,361.32 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงินเพียง 120,073 บาท จึงเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง เห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยในข้อ 2(1) ในประเด็นที่ว่าจำเลยได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และได้รับสินค้าไปจากโจทก์แล้วหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่า เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง จำเลยปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ แต่โจทก์นำนายมอร์เท่น พอร์ซิลด์กรรมการโจทก์มาเบิกความประกอบเอกสาร แต่ไม่ได้นำพนักงานขายและพนักงานส่งสินค้าของโจทก์ซึ่งรู้เห็นโดยตรงเข้าเบิกความ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนและเป็นการรับฟังพยานบอกเล่านั้น ตามฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่าไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอแก่การจะรับฟังฎีกาของจำเลยข้อนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้มาโดยเห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ส่วนที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์ส่งมอบสินค้าให้จำเลยในคดีนี้ไม่ถือเป็นการชำระหนี้บางส่วน ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้จำเลยชำระหนี้ได้นั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองและสามนั้น คำว่า “ได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว” ตามวรรคสองนั้น กฎหมายมุ่งบัญญัติให้ใช้บังคับแก่คู่สัญญาทั้งฝ่ายผู้ขายและผู้ซื้อ ดังนั้น หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ชำระหนี้ส่วนของตนไปแล้วก็ย่อมจะเรียกร้องเอาสิทธิที่ตนจะได้รับจากอีกฝ่ายหนึ่งได้ เพราะสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทนผู้ขายย่อมมีหนี้ที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อส่วนผู้ซื้อก็มีหนี้ที่ต้องใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า โจทก์ผู้ขายได้ส่งมอบสินค้าของตนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายผู้ซื้อแล้ว จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ส่วนของตนแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระราคาสินค้าแก่โจทก์ได้ ที่จำเลยฎีกาว่า การชำระหนี้บางส่วนหมายความว่า เฉพาะจำเลยได้ชำระค่าสินค้าให้โจทก์แล้วจึงฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อกฎหมายนี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

พิพากษายืน

Share