คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4044/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยอาจให้ทนายความไปศาลถามค้านพยานโจทก์ โดยจำเลยไม่ต้องไปศาลก็ได้ แต่ทนายจำเลยได้ทิ้งคดีไม่ไปศาลเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาตามหน้าที่โดยไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ ทั้งได้ย้ายภูมิลำเนาหลบหนีการถูกดำเนินคดีอาญาในคดีอื่นไปอยู่ที่ใดไม่ปรากฏ ทำให้จำเลยทั้งสองไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาในวันนัดนั้นได้ การที่จำเลยทั้งสองไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณา จึงสมควรที่จะให้มีการพิจารณาคดีใหม่ตามคำร้องของจำเลยทั้งสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันรับผิดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขาดนัดโดยจงใจให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ทางไต่สวนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ นำสืบว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้แต่งตั้งให้นายอำนาจ นุ้ยแนบ เป็นทนายความเมื่อจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้รับหมายนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๒๙ แล้ว ได้สอบถามทนายความว่าจะต้องไปศาลในวันนัดนั้นหรือไม่ ทนายความแจ้งว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องไปศาลเพราะเป็นนัดสืบพยานโจทก์ หลังวันที่ ๑๗ ประมาณ ๒-๓ วัน จำเลยที่ ๒ โทรศัพท์ถามทนายความได้ความว่า ทนายความขอเลื่อนและศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๒๙ ต่อมาเมื่อประมาณวันที่ ๒๓ หรือ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๙ จำเลยที่ ๒ ได้สอบถามทนายความว่า จะต้องทำอะไรบ้างในวันที่ ๔ ทนายความตอบว่าไม่ต้องทำอะไร เพราะเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้ไปศาลในวันนัดนั้น ครั้นวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๙ จำเลยที่ ๒ ไปหาทนายความที่สำนักงาน ปรากฏว่าสำนักงานทนายความปิด เลิกกิจการ สอบถามเจ้าของบ้านได้ความว่าทนายความได้ขนย้ายสิ่งของในสำนักงานออกไปหมด จำเลยที่ ๒ จึงไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำเรื่องขออนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการ
โจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดนัดวันสืบพยานโจทก์ และแจ้งวันนัดให้จำเลยทั้งสองทราบโดยชอบแล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่ามีเหตุสมควรเชื่อว่าจำเลยทั้งสองไปศาลไม่ได้หรือไม่ เห็นว่า ในการพิจารณาคดีสืบพยานโจทก์นั้น จำเลยทั้งสองอาจจะให้ทนายความไปศาล ถามค้านพยานที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยทั้งสองไม่ต้องไปศาลก็ได้ การที่ทนายความของจำเลยทั้งสองไม่ได้ไปศาลตามกำหนดนัดนั้น ได้ความจากการไต่สวนว่า ทนายความทิ้งคดีไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาตามหน้าที่ของทนายความโดยไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสอทราบ และย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ ณ ที่แห่งใดก็ไม่ปรากฏ เพราะทนายความถูกแจ้งความและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำเรื่องขออนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการ จึงหลบหนีไปทำให้จำเลยทั้งสองไม่อาจที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาในวันนัดนั้นได้ ดังนี้มีเหตุสมควรเชื่อว่าที่จำเลยทั้งสองขาดนัดมาศาลไม่ได้นั้น มิได้จงใจที่จะขาดนัดพิจารณา และเมื่อจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๗, ๒๐๘ แล้วจึงสมควรที่จะให้พิจารณาใหม่ตามคำร้องของจำเลยทั้งสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยเริ่มตั้งแต่สืบพยานโจทก์เป็นต้นไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ.

Share