แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสี่พากันเข้าไปพบผู้เสียหายซึ่งนั่งอยู่ใต้ถุนเรือนโดยมี พวกอีก 5 คน รออยู่นอกบ้านและติดเครื่องรถจักรยานยนต์พร้อมที่จะ ออกแล่นได้ทันที เมื่อจำเลยที่ 1ถามผู้เสียหายว่าเป็นคนบ้านโคกสำโรง ใช่หรือไม่ พอผู้เสียหายตอบว่าใช่ จำเลยที่ 2 ก็บอกให้จำเลยที่ 1 ยิง จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหาย 6 นัดแต่กระสุนไม่ถูก ผู้เสียหายลุกขึ้น วิ่งขึ้นบ้านและเอาปืนมายิงถูกจำเลยที่ 3 ที่4 ได้รับบาดเจ็บ ตลอดเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ได้อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 จนถึงขณะที่พวกของจำเลยบอกให้ถอยเนื่องจากจำเลยที่ 3 และที่ 4ถูกกระสุนปืนที่ผู้เสียหายยิงต่อสู้มา จำเลยทั้งสี่จึงได้พากันล่าถอย ออกไปจากบ้านผู้เสียหาย และขึ้นรถจักรยานยนต์ที่พวกของจำเลยติดเครื่องจอดรออยู่ดังกล่าวแล้วพากันหลบหนีไปจากพฤติการณ์ ของจำเลยเช่นนี้ ย่อมเล็งเห็นได้แล้วว่าจำเลยทั้งสี่ต่างมีเจตนาร่วมกัน ที่ต้องการฆ่าผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้เป็น ตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 พยายามฆ่าผู้เสียหายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่กับพวกที่หลบหนีอีก 5 คนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83, 80
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ลงโทษจำคุกคนละ 10 ปี
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว การที่จำเลยทั้งสี่พากันเข้าไปในบ้านผู้เสียหายและยังมีพวกอีก 5 คนรออยู่นอกบ้าน ติดเครื่องรถจักรยานยนต์ พร้อมที่จะออกแล่นไปได้ในทันทีและเมื่อจำเลยทราบว่าผู้เสียหายเป็นคนบ้านสำโรง จำเลยที่ 2 จึงบอกให้จำเลยที่ 1 ยิง จำเลยที่ 1 จึงยิงปืนออกไป 6 นัดแต่กระสุนไม่ถูกผู้เสียหาย ตลอดเวลาเหล่านี้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 จนถึงขณะที่พวกของจำเลยบอกให้ถอยเนื่องจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ถูกกระสุนปืนที่ผู้เสียหายยิงต่อสู้มาจำเลยทั้งสี่จึงได้พากันล่าถอยออกไปจากบ้านผู้เสียหาย และขึ้นรถจักรยานยนต์ที่พวกของจำเลยติดเครื่องจอดรออยู่ดังกล่าวแล้วพากันขับหลบหนีไป จากพฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้ ย่อมเล็งเห็นได้แล้วว่าจำเลยทั้งสี่ต่างมีเจตนาร่วมกันที่ต้องการฆ่าผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดจะว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่มีส่วนรู้เห็นได้อย่างไร โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหายในทันทีที่ทราบว่าผู้เสียหายเป็นคนบ้านสำโรงและขณะจำเลยที่ 1 ถือปืนจ้องไปยังนางฉอ้อนและนางสาวจีรนุชภริยาและน้องสาวของผู้เสียหาย จำเลยที่ 3 ที่ 4 ก็ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง ข้อเท็จจริงดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 แล้ว ทั้งเป็นการกระทำที่อุกอาจโดยเข้าไปยิงผู้เสียหายถึงในบ้านในเวลากลางวันแสก ๆ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 2 และที่ 4 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์