คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1763/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เรือนพิพาทจะเป็นของโจทก์หรือไม่ก็ตาม แต่บุตรเขยโจทก์ยินยอมให้รื้อเรือนนี้และบุตรเขยโจทก์ก็ได้มาอยู่จัดการรื้อเรือนด้วย จำเลยจึงรื้อ แสดงว่าจำเลยคิดว่าเรือนเป็นของบุตรเขยโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358,362 เพราะขาดเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่บ้านของโจทก์และรื้อเรือนโจทก์ลงมากองไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 362, 83

ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 3, 4, 5

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังว่าเรือนพิพาทน่าจะเป็นของโจทก์ มิใช่ของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นบุตรเขยโจทก์ดังที่จำเลยนำสืบ จำเลยย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเรือนของโจทก์ปลูกขวางถนนพัฒนากร ควรจะบอกให้โจทก์รื้อ แต่จำเลยกลับรื้อเรือนโจทก์เอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 358 ซึ่งเป็นบทหนัก

โจทก์อุทธรณ์ไม่ให้รอการลงโทษจำเลยและลงโทษให้หนัก

จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่ควรมีความผิด

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้จะฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยกับพวกรื้อเรือนนี้ดังที่ศาลชั้นต้นฟัง แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานหรือพฤติการณ์แสดงว่าขณะรื้อเรือนนั้นจำเลยรู้ว่าเป็นเรือนของโจทก์ และมีเหตุฟังได้ว่าจำเลยเชื่อว่าเรือนที่รื้อเป็นของจำเลยที่ 5 การกระทำของจำเลยต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรค 3 ไม่เป็นความผิด เพราะไม่มีเจตนา พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหามีว่า ขณะรื้อเรือนนั้นโจทก์นำสืบได้หรือไม่ว่าจำเลยรู้ว่าเรือนเป็นของโจทก์ เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเช่นว่านี้ ส่วนจำเลยมีเอกสาร คือ หนังสือที่จำเลยที่ 5 ทำให้เจ้าพนักงานไว้ว่าจำเลยที่ 5 จะรื้อเรือนพิพาทที่ปลูกขวางถนนที่จะตัดผ่านให้และจำเลยที่ 5 ก็ได้มาอยู่จัดการรื้อเรือนด้วย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1, 2 (เป็นผู้ใหญ่บ้าน) เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตคิดว่าเรือนนี้เป็นของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นบุตรเขยโจทก์ไม่มีความผิด

พิพากษายืน

Share